ไดอารี่

การขยาย Visa ครั้งที่ 2 หมูน้อยกับประเทศเกาะ

วันนี้เป็นอีกหนึ่งวันที่เราถูกปลุกให้ตื่นตั้งแต่เช้าตรู่จากแผ่นดินไหวทางตอนใต้ของจังหวัดเกียวโต ประกอบกับเนื่องจากเราเพิ่งได้รับตอบรับการต่ออายุวีซ่าจากนิวกัง (หน่วยงานตรวจคนเข้าเมืองของประเทศญี่ปุ่น) มาหมาด ๆ กรปรกันกับช่วงนี้ที่มีหลายเรื่องเกิดขึ้นเลยถือโอกาสได้มานั่งทบทวนตัวเองกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในรอบสองปีกว่า ๆ ที่เราย้ายมาอยู่ญี่ปุ่นในรอบนี้

อย่างที่เราเคยมีเกริ่นไว้ในบล็อกเก่า ๆ (หรือเปล่านะ ?) ว่าเราไป ๆ มา ๆ ระหว่างไทยกับญี่ปุ่นอยู่บ่อย ๆ ทั้งมาเที่ยวบ้าง มาเยี่ยมเพื่อนบ้าง มาหาบรรดาเหล่าลูกสาว (ไอดอลที่ชอบ) หรือย้ายมาอยู่ระยะยาวบ้างจนบางครั้งก็ถูกเพื่อนหลายคนเริ่มสงสัยว่าเราแอบมีครอบครัวอยู่ที่ญี่ปุ่นหรือเปล่า (ฮา)

สำหรับการย้ายมาอยู่ญี่ปุ่นระยะยาวในครั้งนี้เหตุผลหลักคือเราอยากเรียนต่อ ซึ่งเราวางแผนเรื่องนี้มานานแล้ว ส่วนสาเหตุของการตัดสินใจมาเรียนต่อที่ประเทศเกาะ เหตุผลหลัก ๆ เลยก็คงเพราะเราผูกพันธ์กับประเทศนี้กระมัง 

ญี่ปุ่นเป็นประเทศแรกในชีวิตที่เราได้มา (ถ้านับเฉพาะการที่ต้องนั่งเครื่องบินไป) แถมยังเป็นการมาใช้ชีวิตระยะยาวเสียด้วย นอกจากครั้งนั้นแล้วเราก็ได้มีโอกาสไปมาหาสู่กับปะรเทศนี้อยู่บ่อยครั้ง หากจะนับจริง ๆ เราน่าจะเข้าออกประเทศนี้มากกว่า 10 ครั้งเห็นจะได้ อย่างน้อย ๆ ก็ต้องมีปีละ 1 ครั้งเป็นอย่างต่ำจนมันได้กลายเป็นบ้านหลังที่สองของเราจริง ๆ เวลาที่เรา depress หรือเครียดจากการทำงาน การใช้ชีวิตในประเทศไทย การได้มาใช้ชีวิตโง่ ๆ อยู่ที่ประเทศนี้ซักระยะถือเป้นหนึ่งในวิธีการรีเซ็ทตัวเองของเรา 

ก็แน่นอนล่ะ เราไม่มีคนให้อ้อนให้ไปเล่าสิ่งต่าง ๆ ทั้งเรื่องที่ทำให้เรามีความสุขและเรื่องที่เรากำลังอึดอัดใจให้ฟังได้เหมือนคนอื่นเขานี่นา เพราะงั้นเมื่อมีอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งมากเกินไป วิธีที่ง่ายที่สุดสำหรับเราคือการตัดขาดตัวเองกับโลกภายนอกเพื่อปรับสมดุลพลังงานในร่างกาย ออกไปในที่ ๆ ไม่มีใครรู้จักดื่มด่ำกับสภาพแวดล้อมและบรรยากาศที่เราไม่สามารถได้รับจากการใช้ชีวิตในประเทศบ้านเกิด สำหรับคนอื่นเวลามาเที่ยวประเทศเกาะก็มักจะคาดหวังว่าเราต้องได้ไปเยือนสถานที่ท่องเที่ยวหรือสถานที่ๆ มีชื่อเสียงต่าง ๆ เพื่อเก็บภาพเป็นที่ระลึกว่าฉันได้มาเยือนญี่ปุ่นแล้วนะ ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่ผิดแต่อย่างใด 

ทว่าสำหรับเรา เรากลับคาดหวังว่าเราขะได้ใช้ชีวิตง่าย ๆ ได้ไปเดินโง่ ๆ ตามย่านที่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักมากนัก ได้ดื่มด่ำกับจุดท่องเที่ยวและร้านอาหารแบบโลคอลที่ชาวเกาะมักจะไปกัน ได้ใช้ชีวิตประหนึ่งเหมือนชาวเกาะคนหนึ่งในช่วงวันหยุด เหมือนที่เราเคยได้สมผัสเมื่อครั้งที่เรามาอยู่อาศัยที่ประเทศนี้เป็นครั้งแรก 

ซึ่งแน่นอนว่าการใช้ชีวิตแบบนี้ก็ไม่ค่อยถูกจริตกับเหล่ามิตรสหายของเราเสียเท่าไหร่ ส่วนมากจึงจบลงด้วยการที่เราตัดสินใจออกเดินทางคนเดียว เอาจริงๆ เรามีแพลนที่จะตะลอนออกเดินทางคนเดียวไปเรื่อย ๆ จากเกียวโตถึงโตเกียวด้วยการเดินเท้าอยู่ ซึ่งเป็นแผนที่เราเริ่มวางโครงร่างไว้ตั้งแต่ช่วงกลางปีที่แล้ว ทว่าด้วยเหตุปัจจัยหลายอย่างทำให้แผนนี้ก็ถูกผลัดผ่อนมาหลายครั้งหลายครา จนไม่รู้ว่าจะได้หยิบยกมาปัดฝุ่นเมื่อใด แต่คิดว่าคงจะเป็นในเร็ววันนี้ เพราะหลังจากนี้เราน่าจะพอจัดสรรเวลามาเติมเต็มความฝันในส่วนนี้ได้ (ถ้าไม่ใช่เพราะเรามีสิทธิ์ที่จะขอลางานได้ก็คงเพราะนั่นแหละ… เห้อ) 

แต่ก่อนหน้านั้นเราคงต้องหาเวลาไปรับวีซ่าใหม่ก่อนแหละนะ ไม่อย่างนั้นเราคงจะกลายเป็นผีน้อยไปจริง ๆ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเราจะได้สิทธิ์ในการยื่นขอลาได้เมื่อไหร่ เพราะล่าสุดที่เราได้รับแจ้งมาจากทางฝ่ายบุคคลดูเหมือนว่าถึงแม้จะเลยช่วงระยะเวลาทดลองงานแล้วเราก็ยังไม่ได้รับอนุญาติให้ลางานอยู่ดี (ฮา) แต่ก็หวังว่าเราน่าจะได้ไปจัดการเรื่องนี้ได้ในเร็ววันนะ จะได้ออกเดินทางเพื่อปรับสภาพอารมณ์ที่มันยุ่งเหยิงของเราตอนนี้เสียที

เอาจริงการปรับบาลานซ์สภาพอารมณ์ของเรานอกจากการตัดขาดกับโลกไปชั่วระยะเวลาหนึ่งก็มีอีกสิ่งที่สามารถจะบาลานซ์อารมณ์​ของเราได้นั่นคือการเรียงลำดับความคิดเพื่อจดบันทึกเรื่องราวนี่แหละ เมื่อตอนสมัยที่โควิดแพร่ระบาดในไทยทำให้ไม่สามารถเดินทางมาประเทศเกาะได้ ก็ได้เรื่องการเขียนบล็อกนี่แหละที่มาคอยช่วยเราปรับบาลานซ์ภายในตัวของเรา จำได้ว่าตอนนั้นเราออกบล็อกใหม่แทบจะทุกสัปดาห์ หรืออย่างน้อยก็ต้องมี 1 บล็อกต่อ 2 สัปดาห์ ถือว่าเป็นช่วงยุคทองสำหรับการปั่นบล็อกของเราเลยก็ว่าได้

แต่พอย้ายมาอยู่ญี่ปุ่น ความถี่จากสัปดาห์ละครั้ง สองสัปดาห์ครั้งก็ถูกเปลี่ยนมาเป็นสองเดือนครั้ง แล้วก็ขยับเป็น สามเดือนครั้ง ครึ่งปีครั้ง และปีละครั้งในที่สุดเนื่องจากเราไม่มีเวลาที่จะสามารถแบ่งมาเพื่อใช้เขียนบล็อกได้เลย (ฮา) แต่ตอนนี้กลับมาปล่อยบล็อก 2 ติดกัน แถมดูเหมือนว่าวันนี้อาจจะมี 2 บล็อกเสียด้วยซ้ำ เพราะเนื้อหาในบล็อกนี้เริ่มจะยาวพอประมาณ ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้ตัดเข้าประเด็นหลักที่เราอยากจะเล่าเลยเสียด้วยซ้ำ ซึ่งเห็นทีคงจะต้องเปลี่ยนหัวข้อใหม่แล้วยกประเด็นที่เราอยากจะเล่านั้นไปอยู่ในบล็อกถัดไปเสียแล้ว

สำหรับใครที่อ่านมาจนถึงตอนนี้ก็ขอให้อดในรออีกนิด คาดว่าบล็อกถัดไปน่าจะตามมาภายในวันนี้หรืออย่างช้าก็น่าจะพรุ่งนี้เป็นแน่ สำหรับบล็อกนี้เราคงจะขอลาเอาไว้เท่านี้ก่อนก็แล้วกัน แล้วพบกันใหม่ในบล็อกหน้าครับ