ไดอารี่

ฤดูใบไม้ผลิที่ไม่มีทั้งเธอและซากุระ

สวัสดีครับหลังจากที่ไม่ได้อัพบล็อกมาร่วม 6 เดือน ตอนนี้ก็ถือเป็นโอกาส ฤกษ์งามยามดีที่จะได้มาอัพเดทกับทุกคนอีกครั้ง หลังจากบล็อกจบการศึกษากับบล็อกที่เล่าเรื่องแสตมป์ราคา 4000 เยนครั้งล่าสุดก็เราก็ไม่ได้เขียนบล็อกอีกเลยเพราะมัวแต่วุ่นวายกับการหางาน เอาจริง ๆ ช่วงนั้นก็เป็นมรสุมชีวิตอยู่ประมาณหนึ่งเหมือนกันทั้งความกดดัน ความเครียดต่างๆที่ถาโถมเข้ามา ต้องขอบอกเลยว่าการหางานในญี่ปุ่นไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด และค่อนข้างเหมือนกับการตกนรกทั้งเป็น แต่ผมจะขอละเรื่องนั้นเอาไว้ก่อนแล้วเดี๋ยวค่อยหยิบมาเล่าให้ฟังกันในโอกาสต่อไปก็แล้วกัน

ฤดูใบไม้ผลิที่ไม่มีซากุระ

สำหรับบล็อกในวันนี้หัวเรื่องที่เราอยากจะหยิบมาคุยก็คือ ‘ฤดูใบไม้ผลิ’ ใช่ครับหลังจากที่ผ่านวันชุนบุนไปประเทศญี่ปุ่นนี้ก็เข้าสู่ช่วงฤดูใบไม้ผลอย่าวเป็นทางการหากแต่ถ้าจะให้กล่าวมันก็คงจะเป็นใบไม้ผลิที่แตกต่างออกไปจากเดิมค่อนข้างมากไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่อากาศค่อนข้างแปรปรวนเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาว เดี๋ยวหิมะตก ใช่ครับผมหมายถึงหิมะที่เป็นหิมะจริงๆ เรื่องมีอยู่ว่ามื่อไม่กี่วันก่อนที่อุณหภูมิพุ่งสูงไปจนแตะ 20 องศาแต่ทว่าในวันรุ่งขึ้นอุณหภูมิกลับลดต่ำลงจนมีหิมะตกหนักอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยอยู่ช่วงหนึ่ง หรือจะเป็นเรื่องที่ค่อนข้างเป็นประเด็นกันในตอนนี้มาก ๆ เลยก็คือเรื่องที่ซากุระไม่ได้มาตามนัด ถ้าถามว่าเรื่องนี้ใครได้รับผลกระทบหนักที่สุดก็คงจะปฏิเสธไม่ได้ว่าผู้ที่ได้รับผลกระทบหนักสุดคงจะเป็นบรรดานักท่องเที่ยวที่ตั้งใจมาเที่ยวประเทศญี่ปุ่นเพื่อมาชมดอกซากุระกันในช่วงนี้ รองลงมาก็คงจะเป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวทั้งหลายแหล่

ถ้าถามว่าทำไมผมถึงมองว่าผู้ได้รับผลกระทบหนักที่สุดไม่ใช่ธุรกิจการท่องเที่ยวแต่เป็นตัวนักท่องเที่ยวเอง ก่อนอื่นเลยผมไม่ได้มองว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นนั้นอยู่ในรูปของเม็ดเงินที่จับต้องได้เท่านั้น หากจะมองแค่เฉพาะเม็ดเงินเราก็คงปฏิเสธไม่ได้เลยว่าผู้ได้รับผลกระทบหลักคือคนที่ทำธุรกิจท่องเที่ยวหรืออีเว้นต่างๆที่เกี่ยวกับซากุระในช่วงนี้ แต่ถ้าหากเรามองถึงผลกระทบทางด้านจิตใจที่เกิดขึ้นคู่กันด้วยแล้วต้องบอกว่าจุดนี้ค่อนข้างสูสี แต่ถึงกระนั้นผมก็ยังให้น้ำหนักของผลกระทบทางด้านจิตใจของนักท่องเที่ยวมากกว่าอยู่ดี เพราะมันอาจกระทบถึงภาพลักษณ์และความประทับใจโดยรวมของประเทศได้ ซึ่งเราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าในบรรดานักท่องเที่ยวที่ผิดหวังกับการที่ซากุระไม่ได้มาตามนัดนั้น มีกี่คนที่เพิ่งเคยมาญี่ปุ่นครั้งแรกและได้รับภาพจำ (First impression) ที่ไม่น่าพิสมัยนักกลับไป

สำหรับคนที่อาศัยอยู่ในประเทศญี่ปุ่นอย่างผมเองก็ได้รับผลกระทบพอสมควรเช่นกันเพราะกะวันไปถ่ายรูปสวย ๆ อวดลง Social ไม่ได้ (ฮา) มันทำให้แผนการอะไรหลาย ๆ อย่างที่ได้มีการวางแพลนเอาไว้ได้รับผลกระทบไปหมด ไม่ว่าจะเป็น งานชมดอกซากุระ หรือสถานที่ถ่ายรูปที่ต้องจ่างเงินเพื่อจองล่วงหน้า หรือการไปชมดอกซากุระที่นัดเพื่อนฝูงเอาไว้แล้วแต่ซากุระดันไม่มาตามนัด เมื่อไปถึงกลับเจอแต่ก้านเปล่าๆกับดอกตูม ๆ ที่ยังไม่โตเต็มที่เสียด้วยซ้ำ มันก็จะมีความเก้อเขินเล็กน้อยหากจะถ่ายรูปมาลงบน Social 

ซากุระทั้งสวนมีบานอยู่แค่ต้นเดียว

ฤดูใบไม้ผลิของผมที่ยังไม่มาถึง

เอาจริง ตอนนี้อากาศก็เริ่มร้อนขึ้นบ้างแล้วแหละ และคาดว่าซากุระเองที่ผลัดวันมาเรื่อย ๆ ก็คงจะเริ่มบานภายในสัปดาห์นี้ แต่ถึงกระนั้นฤดูใบไม้ผลิของผมก็ยังไม่มาถึงสักที แน่นอนว่าฤดูใบไม้ผลิในที่นี้ไม่ได้หมายถึงฤดูใบไม้ผลิที่ literally ฤดูใบไม้ผลิ แต่เป็นคำแสลงของคนญี่ปุ่นที่หมายถึงความรัก ในไทยเราจะมีสำนวน ‘ปลูกต้นรัก’ อยู่ แน่นอนว่าญี่ปุ่นเองก็มีเช่นกันโดยมักจะแทนสิ่งเหล่านี้ด้วยฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งหมายถึงช่วงเวลาที่จะบ่มเพาะความสัมพันธ์ของคนสองคนให้งอกเงยขึ้นมา และใช่ครับ ผมยังขายไม่ออกเลย (ฮา) ตอนแรกคิดว่าพอย้ายกลับมาอยู่ญี่ปุ่น จะทำให้เราได้มีโอกาสมากขึ้น เหมือนได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ ได้เริ่มต้นรู้จักผู้คนใหม่ ๆ เป็นการเปิดโอกาสในชีวิต 

แต่เปล่าเลย ด้วยความเป็นมนุษย์อินโทรเวิร์ดที่ไม่ชอบไปในสถานที่ที่มีคนพลุกพล่านรวมถึงการเข้าหาคนอื่นไม่เก่งและค่อนข้างที่จะ uncomfortable เมื่อต้องทำความรู้จักกับคนใหม่ ๆ ในช่วงแรก มันเลยทำให้บุคลิกของเรากลายเป็นคนแปลก ๆ ที่เข้าถึงยากไปโดยปริยาย นี่ยังไม่รวมถึงการถูกเข้าใจผิดว่ามี sexual preference เป็น LGBTQ เนื่องจากมีเอเนอร์จี้เพื่อนสาวอยู่เยอะเกินไปในบางเวลาอีก มันก็เลยทำให้อะไรหลาย ๆ อย่างยากขึ้นเป็นเท่าตัว (ฮา) 

เอาจริงเราว่าอีกเหตผลหนึ่งก็คงเป็นเพราะเรากลัวที่จะเข้าหาคนอื่นก่อนโดยเฉพาะเพศตรงข้าม โดยมีความจำเป็นด้วยแหละมั้ง ถ้าจะให้เล่ามันก็เป็นผลพวงมาตั้งแต่สมัยยังเป็นนักเรียนที่เรายังเข้าหาคนไม่เก่ง เวลาพยายามเข้าหาคนอื่นมันเลยออกมาแบบแปลก ๆ ทั้งการใช้คำพูด และบทสนทนาต่าง ๆ ที่หากมองผิวเผินแล้วน่าจะก่อความรำคาญหรือความฉงนให้คู่สนทนาต้องขมวดคิ้วอยู่ไม่น้อย หลังจากนั้นเราก็เลยค่อนข้างเก็บตัวมากขึ้นและเลือกที่จะเป็นฝ่ายรอคอย แล้วให้อีกฝั่งเป็นฝ่ายเข้าหาแทนหากมีคนอยากจะรู้จักกับเรา ซึ่งที่จริงก็ได้รับ feedback เรื่องนี้อยู่บ่อย ๆ ว่าคนภายนอกมองว่าเราเป็นมนุษย์ที่เข้าถึงยากทั้งที่จริง ๆ แล้วไม่ใช่แบบนั้น แต่จะให้ทำไงได้ล่ะ ก็คนมันชินกับการใช้ชีวิตแบบนี้ไปแล้วนี่นา (ฮา)

รุ้งกินน้ำพาดผ่านสะพานซานโจ เมืองเกียวโต ในวันฝนตก

เอาเข้าจริงก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเราจะใช้ชีวิตแบบนี้ต่อไปอีกจนถึงเมื่อไหร่ หรือเราจะสามารถแก้ปัญหานี้แล้วเริ่มกล้าที่จะเข้าหาคนอื่นได้หรือเปล่าด้วย แต่ถ้าจะให้ดีน่าจะต้องเริ่มจากการฝึกเริ่มบทสนทนาก่อนน่าจะดีกว่า เพราะเรารู้สึกว่าเราเป็นคนเปิดบทสนทนาได้ไม่เก่ง หรือจะเรียกว่าค่อนข้างแย่ก็ได้ แต่สิ่งที่เราทำให้ดีคือการคล้อยตามบทสนทนา เรียกได้ว่าถ้ามีคนเปิดหัวเรื่องแล้วล่ะก็ ที่เหลือหลังจากนั้นไว้ใจผมได้เลย

ทิ้งท้าย

เอาล่ะเราเริ่มรู้สึกว่าเราควรตัดจบบล็อกนี้ไว้แต่เพียงเท่านี้ก่อนดีกว่า ไม่งั้นมันจะยาวจนเกินไปเพราะที่เขียนอยู่ ณ ตอนนี้ก็ทะลุ 1200 คำเข้าไปแล้ว และเราไม่อยากให้แต่ละบล็อกยาวมากจนเกินไป เพราะเราเชื่อว่าคนที่เข้ามาอ่านบล็อกเราหลายคนน่าจะมีนิสัย ‘ยาวไปไม่อ่าน’ อยู่ไม่มากก็น้อย

สำหรับใครที่อ่านทุกบรรทัดตั้งแต่ต้นบล็อกจนมาถึงตรงนี้เราก็ขอขอบคุณมาก ใครที่อ่านข้ามไปมาเราเองก้ขอบคุณเช่นกันที่ยอมสละเวลามาอ่านบล็อกเล็ก ๆ ที่ไม่ค่อยอัพเดทแล้วของเรา

แล้วไว้พบกันใหม่ ณ โอกาสหน้า

สำหรับวันนี้ สวัสดีครับ