ไดอารี่

ของที่ระลึกที่ไม่สามารถเก็บไว้ได้

วันนี้เป็นวันแรกในรอบหลายเดือนที่เราออกไปกินข้าวนอกบ้านกับเพื่อน ด้วยสถานการณ์ที่ผ่านมาที่เราอยู่ในสภาวะการแพร่ระบาดหนักจนรัฐบาลออกมาตรการสั่งปิดร้านอาหารและร้านค้าต่าง ๆ ในห้างสรรพสินค้า โดยไม่ให้มีการขายอาหารแบบนั่งกินภายในร้าน ซึ่งถ้าว่ากันตามตรง อย่าว่าแต่ให้นั่งกินในร้านเลย แค่เดินออกไปหน้าปากซอยเรายังหลีกเลี่ยงที่จะไป อย่างมากก็แค่เปิดประตูรับพัสดุและอาหารที่เราสั่งผ่านบริการ Online Shopping และ Online Delivery Platform

พอลองมองย้อนกลับไปดู ตอนนี้ก็ผ่านมา 1 เดือนเศษแล้วตั้งแต่ที่เราลาออกจากงานมา สารภาพตามตรงว่าสิ่งที่เราเสียดายมากที่สุดคือการที่ต้องส่งคืน ‘บัตรพนักงานองค์การของรัฐ’ กับ ‘หนังสือเดินทางราชการ’ (หรือที่มักจะเรียกกันว่าพาสปอร์ตสีน้ำเงิน) เอาจริง ๆ คือตอนแรกกะว่าจะเก็บเอาไว้เป็นที่ระลึกเสียสักหน่อย แต่ในเมื่อต้องส่งคืนก็ได้แต่ต้องทำใจเลยได้แต่ถ่ายรูปเก็บเอาไว้เป็นที่ระลึกแทน (ฮา)

อะไรคือ ‘บัตรพนักงานองค์การของรัฐ’

เราเชื่อว่าหลายคนน่าจะเคยได้ยินเกี่ยวกับหนังสือเดินทางราชการหรือพาสปอร์ตสีน้ำเงินกันมาบ้าง แต่อาจจะไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับ ‘บัตรพนักงานองค์การของรัฐ’

ถ้าจะให้อธิบายแบบง่าย ๆ ตัว ‘บัตรพนักงานองค์การของรัฐ’ ก็เปรียบเสมือนบัตรข้าราชการนั่นแหละ เพียงแต่ผู้ที่ถือบัตรนี้จะเป็นพนักงานในองค์กรอิสระ หน่วยงานกำกับดูแล หรือองค์กรพิเศษอื่น ๆ ที่ตั้งภายใต้พ.ร.บ.หรือกฏหมายพิเศษต่าง ๆ อยู่ภายใต้รัฐ ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้จะไม่ถูกนับว่าเป็นข้าราชการในฉากหน้า เพราะสังกัดอยู่ในองค์การที่ไม่ใช่ส่วนราชการ แต่ในเชิงปฏิบัติเวลาเข้าร่วมงานหรือพิธีการต่าง ๆ กลุ่มคนเหล่านี้จะถูกจัดอยู่ในกลุ่ม ‘ข้าราชการประเภทอื่น’ สรุปว่าเป็นหรือไม่เป็นข้าการกันแน่นะ สารภาพตามตรงว่าจนกระทั่งเราลาออกมาแล้วก็ยังสงสัยอยู่ ณ ปัจจุบันนี้ แต่อย่างไรก็ตาม หากตีความกันตามตัวอักษรของเอกสารและกฏข้อบัญญัติต่าง ๆ แล้วก็ถือว่าไม่ใช่ข้าราชการล่ะนะ

ความรู้สึกหลังลาออกมาแล้ว 1 เดือน

จะว่าไปพอได้ลาออกมาจริง ๆ ก็แอบใจหายอยู่เหมือนกัน ยังคงคิดถึงช่วงเวลาที่ยังต้องทำงานหลังขดหลังแข็งกับตารางประชุมที่แน่นหนาตั้งแต่เช้าจรดเย็นแล้วค่อยว่างมาเคลียร์งานตัวเองในช่วงหัวค่ำ ถ้าจะถามเราว่างานหนักมั้ยก็คงพูดได้เต็มปากเลยว่าหนัก ซึ่งต่อให้บอกไปก็คงไม่มีใครยอมเชื่อ เพราะหลายคนมักจะมีภาพจำว่าหน่วยงานภาครัฐนั้นสบาย วัน ๆ แทบจะไม่ต้องทำอะไรเช้ามาตอกบัตรเข้างานตกบ่ายก็กลับบ้านตรงเวลา แต่จากประสบการณ์ทำงานตลอดสองปีกว่าที่ผ่านมา เรากลับบ้านตรงเวลาแทบจะนับครั้งได้ด้วยนิ้วมือทั้งสองข้าง (ฮา) ซึ่งคนอื่น ๆ ในฝ่ายหรือในสายงานเดียวกันก็เป็นแบบเรากันทั้งนั้น ส่วนตัวเราเลยว่ามันก็แล้วแต่ว่าจะสังกัดอยู่ที่ไหนแหละมั้ง

ถึงจะเหนื่อยแต่ตอนนั้นเราก็สนุกมากจริง ๆ ตัดภาพมาในตอนนี้ 1 เดือนที่ผ่านมาเรามีเวลาว่างเยอะมากขึ้น มากจนแบบต้องมานั่งคิดแล้วว่าวันนี้เราควรจะทำอะไรดี ว่างจนมีความรู้สึกว่าเราต้องหาอะไรซักอย่างทำเพื่อที่จะได้ไม่อยู่ว่าง ๆ แต่หลังจากนี้คงไม่ต้องมานั่งคิดอีกเพราะนี่ก็ใกล้จะเปิดเทอมแล้ว คงมีอะไรที่ต้องทำมากมายทั้งเรื่องการเตรียมเอกสารและการลงทะเบียนเรียนต่าง ๆ

งานหนักแล้วทำไมถึงไม่เคยคิดย้ายงาน เพราะผลตอบแทนดี ?

อันนี้ต้องดูก่อนว่าคำจัดความของคำว่า ‘ผลตอบแทน’ คืออะไร ถ้าเราวัดกันที่ตัวเงิน ส่วนตัวเรามองว่าที่นี่สู้ที่อื่นไม่ได้คือแบบพอเทียบกับเพื่อนคนอื่น ๆ ในกลุ่มที่เรียนมาด้วยกันที่มีหน้าที่ความรับผิดชอบเท่า ๆ กันแล้วคือสู้ไม่ได้จริง ๆ แต่มันก็มีสิทธิพิเศษอื่น ๆ ที่มันไม่ได้ตีออกมาเป็นตัวเงินที่จับต้องได้เช่นพวกสิทธิการเบิกค่ารักษาพยาบาลของพ่อแม่ ประกันอุบัติเหตุของบุตรธิดา เงินช่วยเหลือค่าเทอม สิทธิการกู้ยืมเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยในอัตราดอกเบี้ยพิเศษ เงินสมทบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพจากนายจ้างที่มากถึง 12% และสิทธิอื่น ๆ ที่มันไม่สามารถตีออกมาเป็นรายรับได้ ก็ถือว่าเป็นการ Trade off ละกัน คือมันเหมาะกับคนที่มีภาระทางครอบครัวต้องดูแลซึ่งสิทธิพวกนี้จะมาช่วยแบ่งเบาภาระเราไปได้เป็นอย่างดี แต่สำหรับใครที่ยังโสดสนิทไม่มีครอบครัว ไม่มีภาระที่ต้องแบกเอาไว้ก็คือไม่ค่อยจะตอบโจทย์เท่าไหร่นัก ที่ยังคงทนทำอยู่ ณ ตอนนั้นคือเรียกได้ว่าอาศัย passion ล้วน ๆ ถ้า passion หมดคือ Game Over กันเลยทีเดียว

เริ่มต้นกับตัวตนใหม่

แต่ยังไงก็ตามเรื่องมันผ่านมาแล้วก็คือผ่านไปแล้ว ตอนนี้เราไม่ใช่ส่วนหนึ่งขององค์กรแล้ว ตอนนี้เป็นเพียงแค่ประชาชนตาดำ ๆ ทั่วไปที่เตรียมตัวเริ่มต้นสวมบทบาทใหม่ที่กำลังจะมาถึงคือการกลับไปเป็นนักศีกษาอีกครั้ง อันนี้เป็นสิ่งที่เราตั้งตาคอยมาก เพราะเราจะได้เป็นนักเรียนทุนที่ได้ไปเรียนต่อต่างประเทศ ถึงจะเป็นทุนส่วนลดค่าเล่าเรียนเพียงเล็กน้อยแต่ก็ยังได้ชื่อว่าเป็นเด็กทุนอยู่ดี แถมยังเป็นทุนให้เปล่าที่ไม่มีพันธะผูกพันธ์ในภายหลังด้วย หวังว่าจะเป็นอีกช่วงเวลานึงที่เราได้ใช้ชีวิตอย่างสนุกสนานได้เต็มที่เหมือนกับที่ผ่านมา