สำหรับเรา วันนี้เป็นอีกหนึ่งวันที่ยาวนานอย่างมาก
ราวกับว่าเวลาในแต่ละวินาทีนั้นผ่านไปอย่างเชื่องช้าถึงที่สุด
เมื่อคืนที่เราคิดว่าเราสามารถสงบสติอารมณ์จากความผิดหวังในช่วงสอบสัมภาษณ์ได้แล้ว แต่เปล่าเลย อารมณ์ของเราไม่ได้สงบลงแม้แต่น้อย มันแค่รอคอยวันที่จะปะทุขั้นอีกครั้ง
ในตอนเช้าอยู่ดี ๆ เราก็หวนกลับมาคิดถึงเรื่องนี้อีก สมองของเราพยายามประมวลผลเพื่อหาตัวเลือกที่ดีที่สุดออกมาเพื่อให้เราได้เข้าใกล้เป้าหมายของเราไปอีกทีละนิด
เป้าหมายของเราไม่ใช่อะไรที่หวือหวาแต่เป็นอะไรที่เรียบง่ายอย่างถึงที่สุด
นั่นคือการเอาตัวเองออกจาก Comfort Zone ไปยังเวทีแห่งใหม่
เวทีที่จะบีบให้เราท้าทายขีดจำกัดของตัวเอง
หากจะให้สรุปสั้น ๆ ใน 1 ประโยคนั่นคือ
‘เราอยากออกไปจากประเทศนี้’
เราอยากไปใช้ชีวิตด้วยตัวเองที่ต่างประเทศ
ไปเผชิญโชคชะตา ณ สถานที่แห่งใหม่ หากจะถามว่าเราอยากจะไปประเทศไหนเป้นอันดับแรก แน่นอนว่าเราคงพูดได้อย่างเต็มปากว่า “ญี่ปุ่น”
“ญี่ปุ่น” ประเทศที่ใครหลายคนต่างกล่าวขวัญว่าเป็นประเทศที่น่าไปเที่ยว แต่ไม่น่าอยู่อาศัย ซึ่งคนที่กล่าวประโยคเหล่านี้ก็มักจะหาเหตุผลร้อยแปดมาอ้างเพื่อสนับสนุนแนวความคิดของตัวเอง
เราไปเที่ยวญี่ปุ่นบ่อยครั้งแต่ระยะเวลานานที่สุดที่เคยอยู่ก็เห็นจะเป็นแค่สองสัปดาห์กว่า ๆ เท่านั้น ซึ่งสำหรับเรามันเป็นช่วงเวลาที่มีค่าอย่างมากราวกับได้เปิดโลกก็ว่าได้เพราะได้ทำสิ่งแปลกใหม่ต่าง ๆ ที่เราไม่อาจทำได้ตอนที่อยู่ไทย ไม่ว่าจะเป็นการแบกจอบเข้าป่าหลังศาลเจ้าเพื่อไปขุดหน่อไม้มาต้มกิน การเอาข้าวเข้าเครื่องสี รวมไปถึงการออกเรือแต่เช้าเพื่อไปหาปลามาทำเป็นมื้อเที่ยง (เสียดายที่ไม่มีโอกาสได้ดำนาปลูกข้าวญี่ปุ่นเพราะช่วงนั้นยังไม่ถึงฤดูกาลปลูกข้าว)
วกกลับมาเรื่องของวันนี้
วันนี้ตั้งแต่เช้าเราหังวลใจในเรื่องการใช้ชีวิตต่อจากนี้อย่างมาก
ความคิดอันมากมายหลากหลายวนเวียนอยู่ในหัวเราจนไม่เป็นอันทำงาน แม้ว่ากายหยาบเราจะรับโทรศัพท์ ตอบเมล เจรจาสั่งงานกับvendor หรือแม้กระทั่งดิวงานกับฝ่ายต่าง ๆ แต่กายละเอียดของเรายังคงประมวลผลแต่เรื่องเหล่านี้เพื่อหาทางออกที่คิดว่าดีที่สุดสำหรับเรา
แล้วก็ไม่รู้อะไรมาดลใจให้เราเริ่มคิดถึงเรื่องการไปเริ่มต้นใหม่ด้วยการไปเรียนภาษา จริง ๆ ความคิดนี้เคยมีอยู่ในหัวของเราเมื่อนานมาแล้ว แต่ด้วยความที่ครอบครัวเรามองว่ามันเป็นการลงทุนที่ไม่คุ้มค่าและพยายามโน้มน้าวให้เราปัดมันตกมาตลอด เราจึงละเลยความคิดเหล่านี้ไป แต่ก็นั่นแหละอยู่ดี ๆ มันก็วกกลับมาอีกครั้ง
สาเหตุที่เรายกเรื่องการไปเรียนภาษาขึ้นมาคิดก็เพราะการไปเรียนภาษาเป็นการเปิดโอกาสของเราทั้งในเรื่องการศึกษาต่อในระดับ ป.โท หรือแม้กระทั่งการหางานที่นั่น เพราะหากภาษาเราแน่น เรามีใบรับรอง JLPT ในระดับสูง เราก็จะมีโอกาสสอบเข้ามหาลัยในหลักสูตรการเรียนการสอนภาษาญี่ปุ่นซึ่งเป็นการเพิ่มตัวเลือกให้เรามหาศาล ถึงแม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าความรู้ภาษาญี่ปุ่นจากโรงเรียนภาษาอย่างเดียวนั้นอาจจะไม่เพียงพอสำหรับการเรียนในระดับมหาลัยแต่อย่างน้อยเราก็ยังมีโอกาสที่จะได้ลองดู หรือหากเราไม่เลือกเรียนต่อ หรือสอบไม่ผ่านเราก็ยังมีโอกาสในการหางานในประเทศนั้นซึ่งสามารถถือเป็นอีกหนึ่งในประสบการณ์ล้ำค่าที่เราสามารถลองได้หากมีความรู้ทางภาษาอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม
ด้วยเหตุนี้เราเลยเริ่มพยายามรวบรวมข้อมูลเท่าที่เราพอจะสามารถหาได้อีกครั้ง อาศัยช่วงพักเที่ยงค้นหาข้อมูลจากเว็บไซต์ และเพจต่าง ๆ รวมไปจนถึงการทักไปถามคนรู้จักในญี่ปุ่นที่เริ่มต้นด้วยการไปเรียนยังโรงเรียนภาษาจนปัจจุบันก็กลายเป็นพนักงานออฟฟิศอยู่ที่นั่น
ยิ่งเราค้นมากเท่าไหร่เรายิ่งเจอตัวเลือกที่หลากหลายมากเท่านั้น
ปัญหาคือเส้นทางแบบไหนที่เหมาะกับเรา ?
ถึงแม้จะมีเส้นทางอยู่ร้อยแปดแต่สุดท้ายคนที่เลือกว่าจะเดินไปเส้นทางไหนนั้นก็คือตัวเรา
ด้วยความที่อายุก็เลยช่วงกลางของเลขสองมาแล้วเงินเก็บเองก็มีจำกัด ยิ่งทำให้เรากังวลมากขึ้นไปอีกในการเลือกเส้นทางที่เหมาะสม ประกอบกับความเป็นคนขี้กังวลยิ่งทำให้เราแทบจะบ้า
สุดท้ายสมองเราก็ blank หรือเข้าสู่สภาวะที่ไม่สามารถประมวลผลอะไรได้ มันรู้สึกตื้อ ๆ และไม่ต้องการที่จะคิดอะไรซับซ้อน
ถ้าถามว่าตอนนี่เรามีเส้นทางที่เลือกได้หรือยัง คำตอบก็คือตอนนี้เรามีแล้ว
แต่เส้นทางนั้นเป็นเส้นทางที่เหมาะสมหรือไม่แล้วครอบครัวเราจะเห็นด้วยกับการตัดสินใจในครั้งนี้หรือไม่นั้นยังคงเป็นข้อกังขาที่เราไม่อาจให้คำตอบได้
หากถามใจเรา เราอยากที่จะเริ่มต้นไปเรียนในปีนี้เพราะหากรอนานกว่านี้เราอาจจะหมดไฟ หรือรู้สึกแก่เกินกว่าที่จะเสี่ยงกับความไม่แน่นอนนี้ เพราะความไม่เด็ดขาดทำให้เราช้ากว่าคนอื่น ๆ ในวัยเดียวกันไปหลายก้าว
หากยังอยู่ในไทย จุดที่เราอยู่ตอนนี้อาจจะเรียกได้ว่าประสพความสำเร็จอย่างมากเมื่อเทียบกับคนในวัยเดียวกัน แต่ในสายตาเรามันไม่ต่างอะไรกับการเล่นพนันที่เราจะถูกโจมตีจนแพ้หมดตัวเมื่อไหร่ก็ไม่มีใครรู้ ทุกคนเชื่อว่าเรามีความสามารถ เชื่อว่าเราเก่งแต่เรารู้ตัวเองดีว่าเราไม่ใช่ และยิ่งอยู่แบบนี้ต่อไปนานเท่าไหร่ช่องโหว่หรือข้อผิดพลาดก็คงจะปรากฏออกมาให้เห็นมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งในเรื่องของการตัดสินใจหรือข้อกฏหมาย
ทั้งหมดทั้งมวลนั่นจึงเป็นเหตุผลที่เราตัดสินใจว่าอยากจะเดินออกจากจุดที่เราอยู่ตรงนี้เพื่อไปเผชิญโชคยังสถานที่แห่งใหม่
แต่สุดท้ายเราก็คงต้องเอาเรื่องนี้ไปปรึกษาครอบครัวอีกที
ถึงแม้ว่าเราจะรู้สึกอึดอัดและมีแต่ความทุกข์มากกว่าสุขเวลาที่อยู่กับพวกเขา
แต่อย่างน้อยเค้าก็เป็นกลุ่มคนที่จะไม่ทอดทิ้งเราแน่นอน