สวัสดีครับ จากบล็อกก่อนที่เราพูดถึงเรื่อง PASSIVE DEATH WISH ไป วันนี้เราจะมาเล่าประสพการณืการไปพบจิตแพทย์ที่ไม่เจอแพทย์กัน
เรื่องนี้เกิดขึ้นช่วงราว ๆ เดือนกรกฏา สถานการ์ตอนนั้นหลาย ๆ ที่เริ่มมีการทยอยคลายล็อกจากสถานการณ์ COVID-19
มันเหมือนทุกอย่างกำลังจะดีขึ้นและใกล้จะกลับมาเป็นเหมือนเดิม แต่มันไม่ใช่สำหรับเรา
หลายคนอาจจะมีวิธีการผ่อนคลายความเครียดสะสมหรือความกดดันแตกต่างกันไป เราเองก็เช่นกัน ในทุก ๆ ปีเราจะทำการ RESET ตัวเองครั้งใหญ่ด้วยการไปญี่ปุ่น (ฮา)
คือมันอาจจะฟังดูตลกแต่มันจริงนะ คือมันเหมือนได้ไปปลดปล่อย ได้เอาภาระที่เราแบกอยู่บนบ่ามาตลอด 1 ปีไปทิ้งที่นั่น แต่ปีนี้เรายังไม่ได้ไปเลย
อันที่จริงเรามีกำหนดการที่จะได้เดินทางไปในช่วงเดือนกุมภาแต่เพราะ COVID-19 ทำเอาทุกอย่างพังพินาศหมด สิ่งที่ควรจะได้ปลดออกจากบ่าก็ยังคงอยู่เหมือเดิมแถมยังเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ตามกาลเวลา จนเราเริ่มรู้สึกว่าเราไม่ไหว เราเริ่มทำงานผิดพลาดบ่อยมากขึ้น เราเริ่มสะเพร่ามากขึ้นและอะไรอีกหลาย ๆ อย่างที่มันเริ่มเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าเราเริ่มที่จะไม่โอเค
ถ้าถามว่าทำไมไม่ลองหาวิธีอื่นในการผ่อนคลายตัวเอง บอกตามตรงว่าเราลองมาหลายวิธีแล้วแต่มันช่วยได้ชั่วคราว ทั้งอ่านหนังสือที่ชอบหรือฟังเพลงที่ชอบมันก็พอจะช่วยเยียวยาได้สักพัก หรือบางครั้งก็ไม่ได้ช่วยให้ดีขึ้น แล้วมันก็กลับมาเป็นใหม่ มันเหมือนว่าเราไม่ได้พักแบบจริง ๆ จัง ๆ ซักที
เอาล่ะ เกริ่นมาพอละ
ด้วยเหตุผลทั้งหมดทั้งมวลที่เราบอกมาข้างต้น สุดท้ายเราเลยตัดสินใจว่าจะลองไปพบจิตแพทย์ดูซักครั้ง
อย่างที่เราเคยบอกไปในบล็อกที่แล้วว่าเราไม่ได้มองว่าการไปพบจิตแพทย์มันเป็นเรื่องน่าอายแต่อย่างใด มันก็แค่การไปให้หมอตรวจโรคหรือรักษาตามปกติ ส่วนตัวเราเลยไม่ได้กังวลอะไรเท่าไหร่ แต่เราก็ไม่รู้ว่าที่บ้านจะมองยังไงเหมือนกัน บอกตามตรงคือเรากลัวชุดความคิดของคนที่บ้านว่าจะไม่โอเคกับเรา ถึงแม้ว่าเค้าจะพูดอยู่เสมอว่ามีอะไรก็คุยกันแบบเปิดอกได้ซึ่งจากประสบการณ์ที่ผ่านมาของเราคือก็คุยแบบเปิดอกได้แหละแต่เค้าจะรับฟังเหตุผลของเราหรือเปล่านั่นคืออีกเรื่อง ทว่า ณ จุดนั้นคือเรารู้สึกว่าเราต้องการหมอ ไม่อย่างนั้นเราก็ไม่ไหวแล้ว ก็เลยเลือกที่จะแอบไปหาหมอโดยไม่ให้ที่บ้านรู้
เราเลยเลือกที่จะลางานแล้วไปหาหมอในวันธรรมดาแทน คือก่อนเราจะเลือกไปหาหมอเราก็สืยค้นข้อมูลมาพอสมควร แล้วเราก็รู้ว่าจิตแพทย์ก็คิวยาวไม่แพ้กับหมอเฉพาะทางทั่วไปอื่น ๆ เราเลยเลือกที่จะไปวันธรรมดา
จริง ๆ วันนั้นเราลาเพื่อไปต่อใบขับขี่ด้วยแหละ แต่เราจองคิวต่อใบขับขี่ไว้ช่วงบ่าย เลยสามารถไปหาหมอในช่วงเช้าได้
เรารีพไปโรงพยาบาลแต่เช้า ไปรับบัตรคิว ลงทะเบัยนประวัติผู้ป่วยนอกอะไรให้เรียบร้อยแล้วเราก็ถูกบอกให้ไปนั่งรอเรียกคิวที่แผนกจิตเวช
เราจำได้แม่นเลยว่าวันนั้นที่ไปเรายังอยู่ในสภาวะที่ไม่โอเค มันอธิบายไม่ถูกอะ มันมีทั้งความเครียด ความแพนิกผสมปนเปกันไปกับอาการ PASSIVE DEATH WISH พอมาย้อนนึกดูตอนนั้นก็เอาเรื่องอยู่เหมือนกันนะกว่าจะผ่านมันมาได้ ซึ่งสาเหตุหลักของเราก็มาจากเรื่องงานกับเรื่องพยายามที่จะเรียนต่อนั่นแหละ เรียกได้ว่าอยู่ใกล้ชิดกับต้นตอของเรื่องกว่า 10 ชั่วโมงต่อวัน
ในระหว่างรอเราก็แอบสังเกตคนอื่น ๆ ที่มานั่งรอเหมือนกันกับเรา ซึ่งภายนอกทุกคนก็ดูปกติดีทุกอย่าง บางคนแต่งตัวดีใส่สูทผูกไทด์เรียบร้อย คิดว่าคงลางานช่วงเช้ามาหาหมอแต่ดูจากอายุ การวางตัวและพฤติกรรมแล้วน่าจะมีตำแหน่งไม่เล็กเท่าไหร่ในบริษัท
จนเมื่อราว ๆ 10 โมงครึ่งเราก็ถูกบุรุษพยาบาลเรียก
บุรุษพยาบาล: คือวันนี้คิวเต็มแล้วครับ เรา: ครับ? บุรุษพยาบาล: อีกเดือนนึงค่อยมาใหม่นะ เรา: เดือนนึงเลยเหรอครับ บุรุษพยาบาล: ราว ๆ วันที่ 18-19 สิงหา จะเอาวันไหน เรา: ขอดูตารางงานก่อนนะครับ... มีเร็วกว่านั้นหรือเปล่าครับ? บุรุษพยาบาล: ไม่มี นี่เร็วสุดแล้ว เรา: งั้นไม่เป็นไรครับ บุรุษพยาบาล: ทำไม จะไปหาที่อื่นเหรอ? เรา: ยังไม่รู้ครับขอกลับไปคิดก่อน บุรุษพยาบาล: ทำไม หรือว่าไม่ทันแล้ว แต่ถึงไม่ทันยังไงก็ไม่มีคิวอยู่ดี เรา: ...
บอกตรง ๆ ว่าตอนนั้นเราโกรธมาก เราไม่รู้ว่าเค้าจบพยาบาลจริงหรือเปล่า หรืออาจจะจบพยาบาลแต่ไม่ใช่เอกทางสายจิตวิทยา แต่ที่เราสัมผัสได้คือบุรุษพยาบาลคนนี้ทรีตคนไข้ไม่ดีเอามาก ๆ ยิ่งคนไข้แผนกนี้เรารู้สึกว่าจิตใจเค้าเปราะบางมากการที่เค้าตัดสินใจมาหาเหมาะเพราะเค้ามีปัญหา แล้วมาเจอบุรุษพยาบาลพูดจาห้วน ๆ ด้วยน้ำเสียงดูถูกแดกดันแบบนี้เรารู้สึกไม่โอเคมาก
สารภาพว่าตอนแรกเราก็แค่รู้สึกไม่สบายใจเฉย ๆ แต่พอได้คุยกับบุรุษพยาบาลเรารู้สึกว่ามันจะไม่ทันจริง ๆ ก็เพราะคำพูดของเขานี่แหละ
ตอนนั้นเราเลยตัดสินใจไม่คุยต่อแล้วหันหลังเดินกลับออกกไปเลย เพราะเรารู้ว่ายิ่งคุยต่อนอกจากจะไม่ได้อะไรแล้วก็มีแต่จะทำให้เราแย่ลงไปกว่าเดิม
สุดท้ายแล้วการตัดสินใจมาหาหมอในครั้งนี้ของเราก็ไม่ได้เจอหมออยู่ดี แต่กลับเจอบุรุษพยาบาลใช้ถ่อยคำและน้ำเสียงในทางดูถูกแดกดันแทน ก็ถือว่าเป็นประสพการณ์เปิดโลกสำหรับเราเลย จากที่อ่านในรีวิวของใครหลายคนเราเห้นเขาเขียนว่าที่นี่ทรีตคนไข้แผนกนี้ดี พยาบาลพูดคุยด้วยความเข้าอกเข้าใจ แต่เหมือนว่ามันจะเป็นเพียงโฆษณาชวนเชื่อเท่านั้น เพราะสิ่งที่เราเจอดันตรงกันข้ามหมดเลย (ฮา)
ครั้งนี้เลยกลายเป็นอุทาหรณ์สำหรับเราไปอีกเรื่อง คือต่อให้มีคนรีวิวไว้ว่าดีมากมายแค่ไหน แต่ก็ควรเตรียมใจมาเผื่อเจอกับความผิดหวังแบบสุดขั้วเอาไว้เหมือนกัน