จริงๆแล้วเราเป็น เจ้าของชีวิตตัวเอง หรือเป็นเพียงแค่ หุ่นเชิด กันนะ
นี่คือสิ่งที่เราสงสัยมาตลอดจนถึงทุกวันนี้
เราชื่อว่าทุกคนล้วนมีความฝัน ไม่ว่าจะเป็นความฝันที่เกิดขึ้นในวัยเด็ก ความฝันที่มาในสมัยที่เป็นนักเรียน ความฝันที่ตั้งเป้าเอาไว้ตอนเริ่มทำงาน และอีกหลายร้อยความฝันที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาต่าง ๆ ในชีวิต
เราเองก็เป็นคนนึงที่มีความฝันมากมาย เราเป็นนักคิด นักจินตนาการที่เต็มไปด้วยความฝันและความหวัง
ความฝันที่เกิดขึ้นในแต่ละช่วงชีวิต บางครั้งก็เป็นความฝันที่เกินจริงและไร้สาระ
แต่ในจำนวนความฝันนับร้อยพันนั้นมันมีบางส่วนที่สามารถจะเป็นจริงได้หากเราลงแรงพยายามและมุ่งมั่นกับมันจนถึงที่สุด
สมัยม.ต้น เราเป็น 1 ในคนที่หมกมุ่นในการอ่านและเขียนหนังสือ
ไม่ว่าจะเป็นนิยาย เรื่องสั้น บทความ หรือเอกสารทางวิชาการ
หากถามว่าเราอ่านเอกสารทางวิชาการรู้เรื่องหรือไม่เมื่อครั้งที่ยังอยู่ม.ต้น ?
คำตอบคือ ไม่
เราอ่านมันรู้เรื่องเพียงบางส่วน เพียงเศษเสี้ยวเล็ก ๆ จากตัวอักษรนับร้อยรับพันคำบนนั้น
แต่เรากลับรู้สึกเพลิดเพลินในการได้อ่านมัน รู้สึกเพลินเพลินไปกับคำศัพท์ที่ยากเกินกว่าที่เราจะเข้าใจหรือตีความ
เราจำได้ว่าตอนนั้นเราตั้งเป้าจะเป็นนักเขียน และหาเลี้ยงชีพจากงานเขียนของเรา
เราจึงอ่านทุกสิ่งอย่างที่ขวางหน้าเพื่อพัฒนาชุดความคิด และขยายขอบเขตคลังความรู้ของตนเอง
และในที่สุดเราก็สามารถกลั่นมันออกมาเป็นนิยาย เรื่องสั้น และบทความที่เป็นเอกลักษณ์ในแบบฉบับของเรา
( บทความที่เราเขียนในสมัยนั้นเป็นเพียงบทความทั่วๆไป เราไม่มีความสามารถในการเขียนบทความทางวิชาการเลย ทั้งในตอนนั้นและในตอนนี้ )
ตอนนั้นเราลงแรงไปกับมันค่อนข้างมาก เราอ่านหนังสือ 3-4 เล่มต่อสัปดาห์ อาจเป็นเพราะด้วยเรามีเพื่อนเพียงน้อยนิด อีกทั้งยังไม่สนใจที่จะวิ่งเล่นหรือหันไปเล่นกีฬาเฉกเช่นเด็กคนอื่นที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกัน ทำให้เรามีเวลาค่อนข้างมากในการอ่านหนังสือในแต่ละวัน
และด้วยความที่เรามีเวลาค่อนข้างมากในตอนนั้นเราเลยเริ่มลงมือเขียนงานลงตามเว็บต่าง รวมถึงเขียนส่งประกวดชิงเงินรางวัลและเขียนส่งเสนอสำนักพิมพ์ ถึงเกือบทั้งหมดที่ส่งไปจะไม่ได้รับเลือกให้ตีพิมพ์ก็เถอะ (ฮา)
ตอนนั้นคือยุคทองของเราในด้านงานเขียนเลยก็ว่าได้ จะว่าไปก็ค่อนข้างคิดถึงยุคสมัยนั้นอยู่แต่ก็นั่นแหละมันย้อนกลับไปไม่ได้แล้ว ตอนนี้ที่เราเริ่มกลับมาเขียนอีกครั้ง บอกเลยว่าทั้งการใช้คำและวาทศิลป์มันไม่เหมือนเมื่อก่อน เพราะเราร้างรางานเขียนแบบจริง ๆ จัง ๆ ไปนานมาก อย่างน้อย ๆ ก็ราว ๆ 7-8 ปีเห็นจะได้
ถ้าถามว่าทำไมเราถึงเลิกเขียนไป เอาจริงๆก็คงหนีไม่พ้นคนที่เราเรียกว่าเป็นครอบครัวนั่นแหละ
ไม่ว่าจะเป็นการว่าออกมาตรงๆ หรือเป็นการประชดประชันโดยอ้อม ทั้งหมดทั้งมวลล้วนมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เราเลิกทำตามความฝันที่เค้าไม่ต้องการให้เราเป็น
และแน่นอนว่าพวกเขาประสพความสำเร็จในการทำลายความฝันของเราลง
ไม่ว่าจะกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ถ้ามันเป็นความฝันที่พวกเขาไม่ต้องการ เขาก็จะทำลายมัน
นั่นเป็นครั้งแรกที่เรารู้ซึ้งว่าชีวิตของเราไม่ได้เป็นของเราที่แท้จริง
สิ่งที่ถูกเค้าพร่ำสอนอยู่เสมอว่าเราต้องตัดสินใจทางเดินอนาคตด้วยตัวของเราเอง เป็นเพียงแค่คำกล่าวอ้างอันสวยหรูที่ถูกยกขึ้นมาเพื่อการหลอกลวง
เพราะในทางปฏิบัติแล้วเราไม่สามารถตัดสินใจอะไรได้ เป็นได้แค่หุ่นเชิดที่ต้องเดินอยู่ในกรอบที่เค้าวางเอาไว้
แน่นอนว่าเราสามารถมีความฝันได้ สามารถไล่ตามความฝันได้
แต่ความฝันอันนั้นต้องเป็นรวามฝันที่เค้าค้องการ เป็นความฝันที่เค้าพิจารณาแล้วว่าดี ว่าเหมาะสม
ไม่ใช่ความฝันที่เป็นความต้องการของเราจริงๆ
สุดท้ายในสายตาของพวกเขาคำว่าลูกชาย แท้จริงแล้วคงหมายถึงหุ่นเชิดที่มีลักษณะคล้ายเพศชาย
ที่เป็นที่นับหน้าถือตา และสามารถนำพาเกียรติยศมาสู่ครอบครัวได้เท่านั้น
ส่วนหุ่นเชิดที่ไม่ฟังคำสั่งหรือแสดงท่าทีขัดขืนก็จะถูกตราหน้าว่าเป็นเพียงสินค้าด้อยคุณภาพ
เป็นที่รังเกียจเดียจฉันและเป็นความอัปยศต่อวงศ์ตระกูล