ไดอารี่

อยากตาย

เอาอีกแล้ว ความรู้สึกเดิม ๆ กลับมาอีกแล้ว

ความรู้สึกที่ว่าเมื่อใหร่เราจะหลุดพ้นจากการครอบงำของสิ่งที่เรียกว่าครอบครัว หรือจริง ๆ แล้วเราต้องตายก่อนกันนะ ? อย่างที่กล่าวข้างต้นว่า ‘ความรู้สึกเดิม ๆ กลับมา’ นั่นหมายถึงมันไม่ใช่ครั้งแรก 

กล่าวตามจริง หากมีคนถามเราว่าสิ่งที่เราอยากได้มากที่สุดในชีวิตนี้คืออะไร คำตอบก็คงไม่พ้น ‘อิสระ’ เราต้องการความเป็นอิสระจากพันธนาการที่เรียกว่าครอบครัว จากสิ่งที่เรียกว่า ‘พ่อ’ และ ‘แม่’ ใครคนอื่นอาจจะมองว่าเราเป็นคนอคกตัญญูแต่จริง ๆ แล้วเรากล้าพูดว่าเราเป็นหนึ่งในคนที่กตัญญูที่สุด เราทำทุกอย่างเพื่อครอบครัวมาโดยตลอด เรายอมทนลำบากทนลงนรกเพื่อสิ่งที่เราเรียกว่า ‘ครอบครัว’ มาโดยตลอด หนึ่งในสาเหตที่เราตัดสินใจกลับมาจากญี่ปุ่นเพราะเราเป็นห่วงที่บ้านหลังจากเกิดอุบัติเหตต่างๆที่ทำให้ร่างกายเขาไม่ได้แข็งแรงดังเดิม เราอยากกลับมาอยู่ในจุดที่สามารถเข้าไปให้ความช่วยเหลือหรืออยู่ข้างๆในช่วงเวลาที่เขาต้อการได้ แต่เรื่องนั้นกับเรื่องนี้มันคนละประเด็นกัน ไม่ว่าเราจะทำทุกอย่างเพื่อครอบครัวขนาดไหนแต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเราก็แค่อยากได้อิสระขั้นพื้นฐานของเราคืนมาบ้าง เราแค่อยากไปไหนมาไหนในวันหยุดด้วยตัวคนเดียว ใช่ว่าเราจะละเลยครอบครัว แต่ขอให้มีบางวันที่เราได้สามารถทำอะไรเพื่อตัวเองบ้างไม่ได้เหรอ หรือเราต้องตายก่อนถึงจะหลุดจากวงจรอุบาทว์นี้ได้ 

ขอสารภาพเลยว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เราคิดอยากจะตาย และใช่ว่าเราไม่เคยพยายามฆ่าตัวตาย เราเคยแล้วแต่ช่างโชคร้ายอย่างน่าเสียดายที่มันดันไม่สำเร็จจนเรายังมีชีวิตอยู่ถึงทุกวันนี้ หลังจากที่ประสบความล้มเหลวในครั้งแรก เราก็เรียนรู้ที่จะอยู่กับความรู้สึก unsecure ต่าง ๆ จนเอาตัวรอดมาได้หลายปี แต่แล้วเราก็ได้ตระหนักถึงบางสิ่งว่าที่จริงแล้วบ้านไม่เคยเป็น Safe zone สำหรับเราเลย ยิ่งเราอายุมากขึ้นความพยายามที่อยากจะควบคุมครอบงำยิ่งมากขึ้นจนรู้สึกได้ จนบางครั้งเราก็ฉุกคิดว่า ชีวิตนี้เป็นของเราแน่หรือเปล่า หรือเรามีชีวิตจริง ๆ หรือเปล่า หรือแท้จริงแล้วเราเป็นเพียงตุ๊กตาหุ่นเชิดที่กำลังถูกใครบางคนเชิดอยู่ แต่ดันตระหนักรู้ถึงตัวตนของตัวเองแล้วเกิดความรู้สึกนึกคิดขึ้นมา

ตอนสมัยที่ยังทำงานอยู่กับหน่วยงานภาครัฐตอนนั้นเราเคยวางแผนเกษียณ (จากโลก) เอาไว้เงียบ ๆ โดยการค่อย ๆ เก็บหอมรอมริบรายได้ที่ได้รับมาจากทุก ๆ ช่วงทางและเปลี่ยนบางส่วนให้กลายเป็นสินทรัพย์ที่สามารถสร้างมูลค่าได้ในระยะยาว เพื่อเมื่อถึงจุด ๆ หนึ่งที่เราสามารถสะสมเงินได้จนถึงราว ๆ 3 – 5 ล้าน เราจะทำการเกษียณตัวเองจากโลกนี้ หากพูดตามภาษาชาวบ้านง่าย ๆ ก็คือทำให้ตัวเองหายไปนั่นแหละ โดยที่ทรัพย์สินทั้งหมดที่เราเตรียมไว้ไม่ว่าจะอยู่ในรูปของเงินสดหรือสินทรัพย์อื่น ๆ จะตกไปเป็นมรดกของพ่อกับแม่เรา แน่นอนว่าจำนวนเงินเพียงแค่นั้นมันย่อมไม่อาจเทียบกับจำนวนที่เขาเสียไปเพื่อเลี้ยงดูเราขึ้นมา แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้พวกท่านสามารถใช้ชีวิตในบั้นปลายโดยไม่ลำบาก และเราก็สามารถหายจากโลกไปได้ ถือว่าเป็นการ win-win ทั้งคู่

ที่เราสามารถวางแผนแบบนั้นได้เนื่องจากตอนนั้นเราไม่ได้มีใคร ไม่ได้มีแฟนหรือคนที่สนใจ ไม่ได้มีคนเข้ามาจีบ ไม่มีพันธะอะไรทั้งสิ้น เราเลยกล้าที่จะตัดสินใจแบบนั้น แต่ถ้าระหว่างทางมีคนเข้ามาทำให้เรารู้สึกว่าเราอยากจะใช้ชีวิตกับคน ๆ นี้ตราบจนลมหายใจสุดท้ายของชีวิต แผนการที่เราวางเอาไว้ ณ ตอนนั้นก็อาจจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง

แต่สุดท้ายแผนการนั้นก็ไม่ได้นำมาใช้จริง แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะมีคนเข้ามาในชีวิต แต่เราไม่สามารถทนทำงานอยู่ที่เดิมได้อีก เนื่องด้วยปัญหาหลาย ๆ อย่าง และแน่นอนว่าเราไม่สามารถลาออกกลางคันได้เนื่องจากถูกต่อต้านคัดค้านอย่างหนักจากครอบครัว รวมไปถึงการพยายามประณีประนอมจากฝั่งที่ทำงาน ณ ตอนนั้น เราจึงจำเป็นต้องหาข้ออ้างที่ทุกฝ่ายปฏิเสธไม่ได้ขึ้นมา นั่นคือการเรียนต่อ

ณ ตอนนั้นเราแค่ต้องการลาออกจากที่ทำงานเก่า และต้องการออกห่างจากครอบครัวให้ไกลที่สุดเท่าที่กำลังของเราจะสามารถทำได้เพื่อไม่ให้เขาเข้ามาวุ่นวายกับเราได้โดยง่าย เรียกได้ว่าเอาเงินเก็บที่เตรียมเอาไว้เป็นทรัพย์สินมรดกให้เขามาใช้ซื้ออิสรภาพชั่วคราวเพื่อเยียวยาตัวเอง มันจึงจบลงด้วยการที่เราลาออกแล้วย้ายไปอยู่ญี่ปุ่น

ช่วงเวลาที่อยู่ญี่ปุ่นเป็นช่วงเวลาเดียวในชีวิตที่เรารู็สึกว่าชีวิตเป็นของเรา เราสามารถถือหนังสือออกไปนั่งอ่านที่ร้านคาเฟ่ใกล้ ๆ ตั้งแต่เช้ายันค่ำ สลับร้านไปเรื่อย ๆ หรือเดินเต็ดเตร่ไปตามสถานที่ต่าง ๆ ของเมืองอย่างไร้จุดหมายได้โดยไม่มีใครมาห้าม หรือชี้นิ้วสั่งว่าควรใช้เวลาไปทำอย่างนั้น อย่างนี้ดีกว่า

ที่จริงความต้องการของเราไม่ใช่อะไรที่ยากหรือซับซ้อน เราแค่อยากทำในสิ่งที่เราอยากทำ อยากมีอิสระในการใช้ชีวิตโดยที่มันไม่ได้ขัดต่อกฏหมายหรือสร้างความเดือดร้อนให้ใคร โดยที่ไม่ต้องถูกตามติดการกระทำทุกฝีก้าวหรือถูกตีกรอบว่าสิ่งไหนควรทำสิ่งไหนไม่ควรทำ ทั้ง ๆ ที่สิ่งนั้นมันไม่ได้ผิดกฏหมายหรือสร้างความเดือดร้อนหรือขัดต่อศีลธรรมอันดีงามของสังคมแต่อย่างใด มันแค่ขัดใจเขาก็เท่านั้น

นี่อาจเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่เราไม่กล้าที่จะเริ่มต้นความสัมพันธ์กับใครเพราะเราไม่อยากให้คนที่เรารักเข้ามาเจอความสัมพันธ์ที่ Toxic แบบนี้ ก่อนที่จะเริ่มเข้าหาคนอื่นเราคงต้องสร้างสถานที่ที่เราสามารถมีอิสระในการใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่ก่อนกระมัง อาจจะเริ่มต้นจากการซื้อบ้านหรือคอนโดที่เป็นกรรมสิทธิ์ของเราจริง ๆ ทำให้เราหลุดจากการควบคุมของที่บ้าน น่าแปลกที่เรื่องราวแบบนี้เกิดขึ้นกับเราคนเดียว แต่น้องสาวเรากลับได้รับสิ่งที่เรียกว่า ‘อิสระ’ อย่างแท้จริงมาโดยตลอด อาจเป็นเพราะเราเป็นลูกคนโต หรือเป็นลูกชายคนเดียว หรืออาจจะแค่เพราะเราอยู่ในสายอาชีพที่แตกต่างจากทุกคนในตระกูล เป็นหมาหัวเน่าที่แปลกแยกนอกคอกจึงจำเป็นต้องใส่ปลอกคอล่ามโซ่ไว้ ไม่ให้มันสามารถทำอะไรที่นอกเหนือการควบคุมกระมัง

บันทึกเมื่อ วันที่ 19 เดือน 4 ปีเรวะที่ 7 (วันที่ 22 เดือนยาโยย ปีเรวะที่ 7 ตามปฏิทินเก่า)

ณ ร้านกาแฟ สักแห่งใจกลางสยาม กรุงเทพมหานคร