ทุกคนเคยเป็นมั้ยครับ เวลาเราอยู่คนเดียว เวลาที่คิดอะไรเรื่อยเปื่อย เวลาเรามีเรื่องที่อยากจะแบ่งปันให้คนอื่นรู้ รวมถึงเวลาที่เราได้ยินใครบางคนพูดถึงเรื่องความรัก มันจะมีหน้าของคน ๆ นึงลอยขึ้นมาเสมอ
สวัสดีครับ อันนี้จะเรียกว่าเป็น Blog ภาคต่อของ มันคงเป็นความรัก ก็ได้มั้งจากที่เมื่อก่อนตอนนั้นที่เรายังไม่มันใจความรู้สึกตัวเองว่ามันใช่ความรักหรือเปล่า เพราะไม่ว่าใครหากลองตั้งจิตให้เป็นกลางแล้วพิจารณาดู การที่เราจะชอบใครซักคนโดยที่เราแค่ได้ยินเสียงเขาอยู่เกือบทุกวันแต่เรากลับไม่แม้กระทั่งจะเคยเห็นหน้าหรือตัวจริงเขาเลยก็ตาม มันคงจะเป็นเรื่องประหลาดดีแท้ และใช่ครับ ผมคือ ‘ตัวประหลาด’ คนนั้น
จะว่ายังไงดีล่ะจริง ๆ เราเริ่มรู้ใจตัวเอง เริ่มตกตะกอนมาซักพักนึงแล้วแต่เรายังไม่มั่นใจตัวเองว่าเราจะสามารถมั่นคงในความรู้สึกนี้ได้นานแค่ไหน เพราะเราเองก็เลข 3 แล้ว การที่จะเริ่มคบหากับใครซักคนมันควรเป็นการคบหาแบบจริงจังเพื่อสร้างครอบครัว เพื่อหา partner ที่จะร่วมเดินบนถนนที่เรียกว่าครอบครัวไปให้สุดทาง อีกทั้งประกอบกับการที่เรายังไม่มีอะไรเป็นของตัวเองสักอย่าง ไม่ว่าจะบ้านหรือรถ มันเลยทำให้เราสูญเสียความมั่นใจไปมากพอสมควร
มาตอนนี้เราคิดว่าเรามั่นใจในความรู้สึกที่มั่นคงของตัวเองแล้ว จนบางทีเราก็รู้สึกว่ามันอาจจะมากเกินไปในบางครั้งด้วยซ้ำ โดยเฉพาะช่วงที่เราอยู่คนเดียวแล้วมีเวลาเพื่อใช้ไตร่ตรองความคิดหรือจมอยู่กับตัวเอง ความรู้สึกนั้นมันยิ่งชัดเจนแจ่มชัด รวมถึงเวลาที่เรามีเรื่องราวบางอย่างที่อยากจะแบ่งปันกับคนอื่น หรือทุกครั้งถ้าได้พูดถึงเรื่องความรัก ภาพใบหน้าของคน ๆ นี้จะลอยขึ้นมาในห้วงความคิดของเรา
Only in my dreams that i can hear your sweet voice
How I miss the way you smile, so can we stay here for a while
As I Love You ‘愛するように’ (MIMI) English version / Shania Yan
ในช่วงหลางเดือนที่ผ่านมาเราเคยทดลองอะไรหลาย ๆ อย่าง เช่น การเล่น dating app เพื่อทำความรู้จักกับคนอื่นที่มาเพื่อหาแฟนหรือหาคู่ชีวิตแบบจริงจัง ทว่าในทุก ๆ คนที่เราคุยด้วยมันจะมีเหตุให้ต้องร้างลากันไป ไม่ว่าจะด้วยการที่เราไม่ค่อยมีเวลาหรืออะไรก็แล้วแต่ แต่สิ่งที่เหมือนกันในทุก ๆ คนที่เรา match ด้วยผ่านแอพต่าง ๆ คือเรารู้สึกว่าเราไม่ได้ clicked กับคนนี้มากเท่าไหร่ รู้สึกว่าในท้ายที่สุดแล้วเราไม่ได้ happy กับการที่จะมีเขาเข้ามาในชีวิตของเราในฐานะคู่ชีวิต หรือว่าที่คู่ชีวิต เพราะไม่ว่าจะคนไหน เมื่อถึงจุดหนึ่งที่เราต้องตัดสินใจว่าจะสานสัมพันธ์ในระดับต่อไปหรือจะจบลงด้วยความเป็นเพื่อนกัน ภาพของคน ๆ นั้นจะลอยขึ้นมาในห้วงความคิดของเราอยู่เสมอ มันเลยทำให้เราตกตะกอนได้ว่า ความรู้สึกที่เราไม่แน่ใจในตอนแรกว่ามันคือความรักหรือเปล่านั้น มันคงเป็นความรักเป็นแน่แท้
แต่ถึงกระนั้น ถึงแม้ว่าเราจะมั่นใจในความรู้สึกของเราและเชื่อมั่นในความมั่นคงของความรู้สึกแล้ว เรากลับไม่กล้าที่จะเดินหน้าต่อเพื่อกระชับความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นมากขึ้นในมุมที่ไม่ใช่แค่เพื่อน จะเรียกว่าอย่างไรดี เรากับเขาอยู่ในสถานะที่ค่อนข้างแปลก อย่างแรกเลยคือเราไม่รู้ว่าเขาโสดหรือเปล่าและแน่นอนว่าเราก็ไม่กล้าถามด้วย อย่างที่สองคือต่อให้เขาโสด เขาจะกล้าเข้าหาเขาในเชิงที่ไม่ใช่เพื่อนหรือ?
ความสามารถในการเข้าหาเพศตรงข้ามนั่นคือเรื่องหนึ่ง แต่ผลกระทบจากการที่เราเริ่มเข้าหาอีกฝ่ายในเชิงความรักคือประเด็นที่เราต้องนำมาพิจารณาให้หนักหน่วง เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นหากล้มเหลวมันไม่ใช่แค่ว่า “เห้อ! ครั้งนี้ก็ไม่ไหวแฮะ” แต่เป็น “ต่อจากนี้จะใช้ชีวิตอย่างไรดี? จะมองหน้ากันติดหรือเปล่า?” “ต่อจากนี้เวลาเจอกันจะทำตัวยังไงดี?”

เราถึงขั้นที่ต้องไปปรึกษาเทพอิซานางิกับเทพอิซานามิที่ศาลเจ้าอิมาโดะตอนที่ได้กลับเกาะในรอบนี้ จะบอกว่าปรึกษาก็คงกล่าวได้ไม่เต็มปากนัก เรียกว่าไปขอพรให้สามารถคบกันได้อย่างราบรื่นดีกว่า ซึ่งโดยปกติแล้วสิ่งที่เราได้รับการตอบกลับมาทุกครั้งเวลามาถามเรื่องของคน ๆ นี้มักจะเป็นว่า “ให้รอก่อน ยังไม่ถึงเวลา สิ่งที่เราปรารถนาจะยังไม่มาถึง” เป็นการบอกว่ามีโอกาสนะแต่มันยังไม่ถึงเวลาที่เหมาะสม (ถ้าเป็นการถามถึงคนอื่น ๆ ที่เคยถามก่อนหน้ามักได้คำตอบว่าไม่สมหวัง ซึ่งเป็นการปฏิเสธแบบชัดเจน) ทว่าในครั้งนี้กลับได้รับคำตอบเป็น “จะสมหวังหากได้ทำกิจกรรมร่วมกัน และยิ้มให้กันเยอะ ๆ” แทน ซึ่งเอาตามจริงแล้วมันกลับทำให้ผมรู้สึกมวลท้องมากกว่าเดิม ถามว่าดีใจไหมก็ดีใจเพราะครั้งนี้เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่มาปรึกษาแล้วได้รับการส่งเสริมโดยเทพชินโตที่มีชื่อด้านการให้คู่ครองและครอบครัวที่สงบสุข แต่มันดันเป็นการสร้างความกดดันให้ตัวเองเพิ่มนี่สิ
กล่าวตามจริงว่าผมเองก็ไม่ได้หวังมากนักกับน้องคนนี้ เนื่องด้วยสถานะการณ์ของผมและน้องคนนี้ตามที่กล่าวเอาไว้ข้างต้นจึงออกมาในรูปที่เราคอยเฝ้าดู คอยชื่นชมอยู่ห่าง ๆ เสียมากกว่า แต่อีกใจหนึ่งก็แอบคิดอยู่ว่าหากได้ลงเอยกันจริงก็คงดีไม่น้อย
แต่ถึงกระนั้นเมื่อหันมามองตามความเป็นจริงด้วยใจที่เป็นกลางมันยิ่งทำให้รู้สึกว่าแสงแห่งความหวังนั้นมันช่างริบหรี่เสียยิ่งกว่าแสงหิ่งห้อย และช่างอ่อนไหวกว่าแสดงเทียนท่ามกลางพายุราวกับว่ามันพร้อมจะถูกดับได้ทุกเมื่อ จริงอยู่ที่อายุของเราทั้งสองคนนั้นไม่ได้ห่างกันมากนัก แต่เมื่อพิจารณาแล้ว ผมเองก็ไม่เห็นข้อดีของตัวเองที่จะนำมาใช้เป็นจุดเด่นในการเข้าหาเสียเท่าไหร่ (ฮา) มันเลยทำเอาความมั่นใจหดหายไปมากพอสมควร อีกทั้ง profile ของอีกฝ่ายเองก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าเราเสียเท่าไหร่ จะเรียกว่าแทบจะเทียบเสมอกันเลยก็ได้กระมัง นี่เองก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่ผมไม่รู้ว่าควรจะใช้อะไรเป็นจุดเด่นในการเข้าหาดีประกอบกับการที่เรารู้จักกันมาปีกว่า ๆ ความเข้าใจในตัวอีกฝ่ายก็พอจะมีอยู่บ้าง มันเลยแทบจะไม่เหลืออะไรให้อวดเพื่อดึงดูดอีกแล้ว (ฮา)
นั่นแหละ มันช่างมืดแปดด้านไปเสียเหลือเกิน
เราควรทำยังไงดีนะ ?
บันทึกเมื่อ วันที่ 29 เดือน 3 ปีเรวะที่ 7 ณ บ้านหลังเล็กๆ ในกรุงเทพมหานคร