ไดอารี่

ไปต่อหรือพอแค่นี้

เราอยากให้นี่เป็นอีกหนึ่งหมุดหมายในทะเลแห่งความทรงจำของเราว่า นี่คืออีกครั้งครั้งที่เราเริ่มตั้งคำถามนี้ในหลังจากที่เคยถามตัวเองไปเมื่อเกือบสี่ปีก่อน เอาตรงๆ เราไม่คิดว่าเราต้องมาตั้งคำถามนี้เร็วแบบนี้ทั้ง ๆ ที่มันผ่านมายังไม่ถึง 4 เดือนดีเลยด้วยซ้ำกับบ้านหลังใหม่ที่เราเพิ่งย้ายเข้าไปอยู่

และมันเป็นอีกครั้งที่เราเจอ housemates ที่น่ารักและนิสัยดี แต่ด้วยสภาพการณ์และสภาพแวดล้อมหลาย ๆ อย่างทำให้เราต้องมาเริ่มตั้งคำถามว่าเราควรจะอยู่บ้านหลังนี้ต่อหรือออกไปหาบ้านหลังใหม่เพื่อเตรียมย้าย

เรายังจำตัวเองเมื่อ 4 ปีที่แล้วตอนที่เราเริ่มตั้งคำถามนี้ได้ขึ้นใจ หากจะให้เปรียบเทียบกับตอนนั้นเราค่อนข้างกล้าพูดเลยว่าสถานการณ์ของเราในบ้านหลังปัจจุบันค่อนข้างดีกว่าเมื่อครั้งนั้นพอสมควร ทั้งสองหลังนั้นเราแบกรับภาระในการดูแลและทำความสะอาดข้าวของเครื่องใช้สิ่งต่าง ๆ ในบ้านมากมายพอกัน เพียงแค่ในระหว่างที่อาศัยอยู่ในบ้านหลังก่อนเราค่อนข้างเสี่ยงต่อการถูกป้ายสีใส่ความจากคนที่ไม่ได้อาศัยในบ้านจนเกือบจะข้องแวะกับตรารางอยู่บ่อย ๆ จนแทบจะเรียกได้ว่าเราค่อนข้างมีความสนิดชิดเชื้อคุ้นเคยกับเจ้าของบ้านและที่ปรึกษาด้านกฏหมายประจำบ้านอยู่เนือง ๆ จนสุดท้ายเราก็ตัดสินใจยื่นขอย้ายออกจากบ้านโดยหาข้ออ้างว่าเพื่อมาเรียนต่อ แต่กระนั้นเจ้าของบ้านก็ยังพยายามยื้อยุดเกลี้ยหล่อมร่วมครึ่งปีกว่าจะยอมให้เราย้ายออกมาได้

ตัดภาพมาที่ปัจจุบัน ถึงแม้เราจะไม่ต้องเสียงต่อการถูกใส่ร้ายป้ายสีจากคนนอกบ้าน แต่กระนั้นชีวิตการอยู่อาศัยภายในบ้านของเราก็ดูจะไม่ค่อยราบรื่นนัก สิ่งอำนวยความสะดวกที่เราได้รับและสามารถใช้ได้ในบ้านหลังนี้เมื่อเทียบกับค่าเช่าที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดในแต่ละเดือนทำให้เราเริ่มรู้สึกว่าบ้านหลังนี้คล้ายจะไม่ค่อยน่าอยู่เสียเท่าใดนัก กล่าวตามจริง ในตอนช่วงระยะแรกที่เราย้ายมาอยู่ในบ้านหลังนี้ ค่าเช่าที่เราจ่ายในเดือนแรกนั้นค่อนข้างถูกเมื่อเทียบกับสวัสดิการณ์ที่เราได้รับพอเข้าสู่ช่วงเดือนที่สองและสาม ที่มีการปรับค่าเช่าขึ้นมาอย่างก้าวกระโดดราว 2-3 เท่าตัวนั้นเรายังค่อนข้างพอรับไหว เพราะเมื่อเทียบกับสิ่งอำนวยความสะดวกที่เราได้รับจากบ้านหลังนี้แล้วถึงแม้จะรู้สึกว่าแพงอยู่บ้างแต่ก็ยังอยู่ในช่วงที่เรายังพอรับไหว แต่เมื่อเข้าสู่ช่วงกลางเดือนที่สามที่เราได้รับการแจ้งว่าจะมีการขอขึ้นค่าเช่า โดยเราจะต้องจ่ายส่วนต่างของครึ่งเดือนหลังของเดือนที่สามและราคาค่าเช่าที่ปรับขึ้นจนสูงชะลูดในเดือนที่ 4 ทำให้เราเริ่มรู้สึกว่ามันอาจจะเริ่มไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไหร่

ทั้งนี้ทั้งนั้นสิ่งอำนวยความสะดวกและขนาดของห้องที่เราได้รับจากบ้านหลังนี้ยังคงเท่าเดิมไม่เปลี่ยนแปลง มีเพียงค่าเช่าที่พุ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ ตัวแทนกรรมการกลุ่มผู้อยู่อาศัยเองก็มีเสนอเราว่าจะลองหารูมเมทมาให้เพื่อช่วยแบ่งเบาค่าเช่าของเรา แต่ทว่าเขาจะยอมมาหารค่าเช่ากับเราจริงหรือ ? นั่นคือสิ่งที่เรายังคงตั้งคำถามกับคำโปรยชวนเชื่อของตัวแทนกรรมการคนนั้น

วกกลับมาสู่ปัจจุบัน เช้านี้เราตัดสินใจเปลี่ยนบรรยากาศด้วยการออกไปกินข้าวเช้าข้างนอกเพื่อให้ธรรมชาติและสภาพแวดล้อมในยามเช้าคอยปลอบประโลม และทำให้สมองแจ่มใสมากขึ้นก่อนจะมาขบคิดถึงปัญหาที่เรากำลังเผชิญอยู่ ณ ปัจจุบัน

หากจะให้กล่าวตามจริงเราเองก็เริ่มถอดใจที่จะจ่ายค่าเช่าแล้วอยู่บ้านหลังนี้ต่อไปแล้ว แต่ครั้นจะให้เลิกเช่าแล้วออกจากบ้านมาเราเองก็ยังไม่มีที่ซุกหัวนอนอยู่ดี จังหวะนี้ก็คงจะได้แค่ตั้งคำถามกับตัวเองว่าเราควรจะทน ‘ไปต่อหรือพอแค่นี้’ กับลองพยายามหาบ้านเช่าหลังอื่นดู สำหรับเราการจ่ายค่าเช่ามากน้อยไม่ใช่ปัญหา ปัญหาคือเมื่อเราจ่ายค่าเช่าไปสิ่งที่เราได้รับกลับมาจากการอาศัยในบ้านหลังนั้นมันสมน้ำสมเนื้อกันหรือเปล่าก็แค่นั้น เพราะฉะนั้นหากเจ้าของบ้านยินดีที่จะให้เราเข้าถึงสิ่งอำนวยความสะดวกอื่น ๆ เพื่อให้สอดคล้องกับค่าเช่าที่เราจ่าย เราเองก็ไม่รังเกียจที่จะเช่าบ้านหลังนี้ต่อไปเช่นกัน

เอาจริงก็ไม่คิดว่าตัวเองจะเขียนมายาวขนาดนี้ แต่อยากให้บล็อกนี้กลายเป็นหนึ่งในบันทึกความทรงจำเหมือนกับบล็อกอื่น ๆ ที่เราเคยเขียนมา เพื่อเป็นหมุนหมายว่าครั้งหนึ่งเรื่องนี้มันเคยกวนใจเรามากจนเราต้องหาทางบรรยายมันออกมาเป็นตัวอักษร

ส่วนใครที่หลงเข้ามาอ่านจนถึงบรรทัดนี้เราขอขอบคุณมากที่พยายามอ่านเรื่องไร้สาระของเรา ที่อาจจะเข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง และก็ขออภัยหากพลังงานลบเหล่านี้ทำให้เธอรู้สึกไม่ดีตามไปด้วย