ไดอารี่

ชีวิตผ่านบันทึก: สองเดือนผ่านไป มีอะไรเกิดขึ้นบ้าง

สวัสดีครับ ตอนนี้ก็ครบสองเดือนแล้วสำหรับการทำ reflect memo รายสัปดาห์ ตอนนี้ก็ถึงเวลาที่จะทำสรุปบันทึกรายสองเดือนแล้ว

ต้องบอกว่าในช่วงสองเดือนที่ผ่านมานั้นค่อนข้างมีอะไรหลายอย่างเกิดขึ้นพอสมควรถ้าให้เปรียบเทียบก็คงสามารถเปรียบได้ดั่งมหาสมุทรที่มีคลื่นลมแปรปรวนไม่แน่นอนส่วนตัวข้าพเจ้านั้นก็เปรียบดั่งนาวาลำน้อยที่ลอยล่องในมหาสมุทรที่เต็มไปด้วยคลื่นลมแปรปรวนเหล่านั้น มีช่วงเวลาที่พุ่งทะยานไปจนถึงขีดสุดและก็มีช่วงเวลาที่ตกต่ำลงเพราะถูกกระแสคลื่นถาโถมจนเกือบจมลงในท้องทะเลนั้น

ทั้งเรื่องที่ต้องต่อสู้ในด้านการทำงาน รวมถึงเรื่องที่พยายามจะคงสมดุลระหว่างเวลางานและเวลาที่ข้าพเจ้าจะใช้ไปกับงานอดิเรกของตนซึ่งยากจะจัดการและสูบพลังชีวิตของข้าพเจ้าไปอย่างมากเพื่อคงความสมดุลนั้น อีกทั้งยังมีเรื่องการที่ข้าพเจ้าไดด้ก้าวเข้าสู่วัยกลางคนอย่างเต้มตัว (ใช่มั้ยหว่า?) ทำให้ความคิดความอ่านแตกต่างไปจากเดิมและเริ่มมองถึงอนาคตและจุดมุ่งหมายของชีวิตมากยิ่งขึ้น

นอกจากความคิดอ่านที่เปลี่ยนไป สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปมากจนสังเกตเห็นได้ชัดคงไม่พ้นสังขารร่างกาย การอดหลับอดนอนดังเช่นครั้งวัยหนุ่มสาวนั้นไม่อาจทำได้โดยง่ายและสร้างความเหนื่อยล้าอย่างมากแก่ร่างกายและกระบวนการทางความคิด ทำให้บางครั้งข้าพเจ้าก็รับสารผิดเพี้ยนไปจากเจตนาของผู้ส่งมากมายนัก ดังที่จะเห็นได้จากสัปดาห์ที่ผ่านมาข้าพเจ้าตอบคำถามและเสนอความคิดในระหว่างการทำงานผิดเพี้ยนอยู่บ่อยครั้งอันเนื่องมาจากเวลานอนที่ลดลง

แต่ที่เห็นได้ชัดเจนจนเป็นที่ประจักษ์มากที่สุดคงไม่พ้นความสามารถในการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ลดลงอย่างเห็นได้ชัด ย้อนกลับไปในวัยหนุ่มเมื่อสมัยที่ข้าพเจ้ายังเป็นนักศึกษาคณะวิศวกรรมตัวน้อยนั้น ข้าพเจ้าสามารถที่จะขนแก้วตั้งแต่หัวค่ำยันเช้ากับเพื่อนฝูงได้โดยไม่มีปัญหาแต่อย่างใด หากแต่ในปัจจุบันเกรงว่าคงจำเป้นต้องจำกัดไว้ไม่เกิน 3-5 แก้วเสียแล้ว เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบในตอนที่ตื่นในวันรุ่งขึ้น หากมากกว่านั้นเกรงว่าจะมีโอกาสสูงที่เมื่อตื่นมาข้าพเจ้าจะเกิดอาหารเมาค้าง หรือที่เรียกว่า ‘แฮงค์’ ทำให้ประสิทธิภาพในการตัดสินใจและการทำสิ่งต่าง ๆ ลดลงอย่างมาก

นอกจากเรื่องการเปลี่ยนแปลงทั้งทางสังขารและความคิดแล้ว มีเหตุการณ์สำคัญอีกเรื่องหนึ่งที่เกิดขึ้นในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา นั่นคือการตัดสินใจกลับประเทศไทย

ภาพถ่ายโดย Evgeny Tchebotarev

ดังที่หลายคนทราบกันดีว่าตอนนี้เราอาศัยอยู่ในประเทศญี่ปุ่น และแน่นอนว่าเป็นพลเมืองที่อาศัยอยู่อย่างถูกกฎหมาย โดยแรกเริ่มนั้นเรามาที่ประเทศนี้ด้วยเหตุผลหลากหลายประการ แต่ข้ออ้างที่เป็นที่ทราบโดยทั่วกันนั้นก็คือเพื่อมาศึกษาต่อในระดับปริญญาโท จนเราเรียนจบและก็มีการเปลี่ยนแปลงวีซ่ามาหลายครั้งจนตัวเราเคยชินกับการใช้ชีวิตอยู่ในประเทศนี้ไปแล้ว อีกทั้งนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เรามาอาศัยระยะยาวอยู่ในประเทศญี่ปุ่นดังนั้นความผูกพันธ์ระหว่างเรากับประเทศนี้ไม่แน่ว่าอาจจะมากกว่าประเทศบ้านเกิดอย่างประเทศไทยก็ได้

ดังนั้นการตัดสินใจกลับประเทศไทยถือเป็นการตัดสินใจที่ยากลำบากพอสมควร ซึ่งหนึ่งในเหตุผลหลัก ๆ เลยก็คือค่าครองชีพที่สูงขึ้น อย่างที่หลายคนทราบว่าค่าเงินเยนที่อ่อนลงเป็นประวัติการณ์ในช่วงนี้ส่งผลต่อคนที่อาศัยอยู่ในประเทศนี้ไม่มากก็น้อย สิ่งที่เห็นได้ชัดที่สุดเลยคือราคาอาหารที่เปลี่ยนแปลงไป ในช่วงที่เราตัดสินใจย้ายบ้ายมาอยู่ประเทศญี่ปุ่น ราคาราเมงร้านประจำของเราอยู่ที่ราวๆ 750 เยนต่อชามแต่ในปัจจุบันกลับพู่งสูงถึง 900 เยนต่อชามไปแล้ว

อีกหนึ่งตัวชี้วัดที่เห็นได้ชัด และใครหลายคนมักจะยกมากล่างถึงเวลาที่ต้องการเปรียบเทียบถึงค่าครองชีพที่สูงขึ้นอย่างน่ากลัวคือราคาข้าวปั้นในร้านสะดวกซื้อ ในตอนที่เราเพิ่งย้ายมาอยู่ญี่ปุ่น ราคาข้าวปั้นอยู่ที่ราว ๆ 99 – 108 เยนเท่านั้น สำหรับข้าวปั้นพรีเมี่ยมนั้นราคาจะอยู่ที่ 130-150 เยน หากแต่ในปัจุบันนั้นราคาปกติกลับสูงถึง 150-180 เยน และข้าวปั้นพรีเมี่ยมอยู่ที่ 250-300 เยนเข้าไปแล้ว ซึ่งหากเทียบเป็นเปอร์เซ็นแล้วจะเห็นได้ว่าเป็นการเพิ่มขึ้นอย่างน่ากลัว ถึงแม้ค่าเงินเยนจะอ่อนลงแต่ค่าครองชีพกลับสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ทำให้รายได้ที่ข้าพเจ้าได้รับในแต่ละเดือนไม่อาจเติมเต็มได้อีกต่อไปและต้องใช้ชีวิตอย่างประหยัดเป็นอย่างมาก

ข้าพเจ้าลดมื้ออาหารลงเหลือเพียงวันละหนึ่งมื้อ ด้วยเหตุผลติดตลกคือไม่มีเงินซึ่งมันอาจดูขำขันในสายตาของบุคคลทั่วไป หากแต่ในความตลกขบขันนั้นกลับแฝงไปด้วยน้ำตาแห่งความหิวโหยของตัวข้าพเจ้าเอง นอกจากนี้การออกไปเที่ยวต่างจังหวัดในแต่ละครั้งจำต้องมีการวางแผนอย่างรัดกุมเพื่อให้แน่ใจว่าข้าพเจ้าจะสามารถเอาชีวิตรอดต่อไปได้จนถึงสิ้นเดือนเพื่อรอวันเงินเดือนออกในรอบใหม่

ภาพถ่ายโดย Pixabay

แน่นอนว่าหากต้องใช้ชีวิตแบบนี้เพียง 1-2 เดือนอาจจะพอเป็นไปได้ หากแต่ต้องใช้ชีวิตแบบนี้ติดต่อกันเกินครึ่งปี หรือต่อไปเรื่อย ๆ เกรงว่ามันอาจไม่ใช้การใช้ชีวิตที่ดีเท่าใดนักสุดท้ายข้าพเจ้าจึงตัดสินใจที่จะเดินทางกลับประเทศอย่างถาวรเพื่อแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ หากในอนาคตอัตราค่าครองชีพของญี่ปุ่นกลับมาทรงตัวเมื่อไหร่ อาจจะต้องพิจารณากลับมาอีกครั้งในอนาคต แต่ในตอนนี้คงต้องขอลี้ภัยจากพิษเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในปัจจุบันไปก่อน กล่าวตามตรงว่าข้าพเจ้าเองก็ไม่แน่ใจว่าการตัดสินใจเดินทางกลับประเทศในรอบนี้เป็นความคิดที่ถูกต้องหรือไม่แต่อย่างน้อยมันก็พอจะมีทางไปต่อที่ดีขึ้นในอนาคต หรือไม่อย่างน้อยการเดินทางครั้งนี้ก็ให้ถือเสียว่าเป็นการกลับมาตั้งหลักเพื่อที่ข้าพเจ้าจะสามารถขยับขยายไปยังประเทศอื่นในอนาคต

อีกเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาเช่นกันคือการที่มีน้องในทีมลาออกจากบริษัท กล่าวตามตรงว่าข้าพเจ้าค่อนข้างใจหายเป็นอย่างยิ่ง ตัวข้าพเจ้านั้นจะเรียกว่าเพิ่งปรับตัวให้เข้ากับที่ทำงานแห่งใหม่ได้ไม่นานนักก็ได้ หากจะกล่าวว่ากำลังจะได้เริ่มต้นใหม่อย่างแท้จริงก็คงจะไม่ใช่เรื่องที่เกินจริงนัก แน่นอนว่าการสูญเสียบุคคลากรที่มีความสามารถที่เราสามารถเชื่อใจและเชื่อถือได้ในเวลานี้ย่อมสร้างความระส่ำระสายให้ข้าพเจ้าอยู่พอสมควร หากแต่ทุกคนล้วนย่อมมีเส้นทางของตัวเอง ซึ่งมันคงจะไม่งามนักหากข้าพเจ้าจะเข้าไปวุ่นวายกับการตัดสินใจเลือกเส้นทางชีวิตของผู้อื่น ท้ายที่สุดจึงทำได้เพียงแต่อวยพรขอให้อีกฝ่ายประสบความสำเร็จในเส้นทางที่ตนได้เลือก กล่าวตามจริงว่าข้าพเจ้าเองก็ไม่ใคร่แน่ใจนักว่าเจ้าตัวจะได้มาเห็น Blog นี้ของข้าพเจ้าหรือไม่ หากแต่เจ้าตัวได้มีโอกาสเข้ามาอ่านในวันใดวันหนึ่งก็ขอให้รู้ไว้ว่าข้าพเจ้าเคารพการตัดสินใจและขออวยพรเอาใจช่วยให้ประสบความสำเร็จในเส้นทางที่ได้เลือกเอาไว้

ท้ายที่สุดก่อนจะจบ Blog ที่แสนยาวเหยียดนี้ ข้าพเจ้าอยากจะกล่าวว่าในที่สุดข้าพเจ้าก็ได้่รับความสงบอย่างแท้จริงเสียที ในตอนที่กำลังเขียน Blog นี้อยู่นั้น ข้าพเจ้ากำลังนั่งในร้านกาแฟร้านโปรดของข้าพเจ้าในเมืองเกียวโต ซึ่งเดิมทีเป็นร้านที่เงียบสงบมีเพลงแจ๊สและเสียงสนทนาเบา ๆ ของหนุ่มสาวชาวญี่ปุ่นคลอประกอบสร้างสภาวะที่เหมาะสมแก่ข้าพเจ้าที่จะใช้รังสรรงานเขียน หากแต่ในวันนี้ไม่รู้มีอะไรดลใจทำให้มีลูกค้าชาวจีนเข้ามาในร้านเป็นจำนวนมาก และที่นั่งของข้าพเจ้านั้นก็ถูกขนามข้างทั้งซ้ายขวาด้วยกลุ่มชาวจีนที่ส่งเสียงดังรบกวนอยู่ตลอดทำให้ความคืบหน้าในการเขียน Blog นี้เป็นไปอย่างเชื่องช้า ในตอนแรกข้าพเจ้าเกือบถอดใจเสียแล้วเนื่องจากมันเป็นการยากเกินไปที่จะรวบรวมสมาธิและคงอารมณ์ทางศิลป์ไว้ให้ได้ตลอดรอดฝั่งจนสิ้นสุดการเขียน 

แต่หลังจากที่ใช้ความพยายามอยู่เกือบ สามชั่วโมงสวรรค์ก็ได้ชี้ทางสว่างให้แก่ข้าพเจ้าโดยการนำคนเหล่านั้นออกไปจากร้าน ส่งผลให้ความคืบหน้าในการเขียนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและสามารถปิด Blog นี้ได้ภายในกรอบเวลาที่ข้าพเจ้าตั้งใจเอาไว้

ภาพถ่ายโดย Matt Hardy

สุดท้ายนี้หากใครที่ทนอ่านมาจนถึงบรรทัดนี้ ข้าพเจ้าก็ขอขอบคุณในการอดทนอ่านเรื่องราวอันไร้แก่นสารของข้าพเจ้ามาจนจบ ส่วนใครที่ข้ามมาอ่านในตอนท้ายเลย ข้าพเจ้าก็ขอขอบคุณน้ำใจที่สละเวลามาอ่านเรื่องไร้สาระของข้าพเจ้าเช่นกัน และบันทึกนี้คงจะเป็นบันทึกสุดท้ายที่ข้าพเจ้าจะเขียนลง Blog ในฐานะบันทึกรายสัปดาห์และบันทึกรายสองเดือน ใน Blog ถัด ๆ ไปก็คงจะเป็นเรื่องอื่นที่ข้าพเจ้าเห็นสมควรว่าควรนำมาเล่าสู่กันฟังกับทุกคน

แล้วพบกันในโอกาสหน้าครับ