ไดอารี่

ชีวิตผ่านบันทึก: เรื่องเล่าและความคิดชีวิตผ่านบันทึก

และแล้วก็วนกลับมาสู่การทำบันทึกตัวเองประจำสัปดาห์ครั้งที่สอง 

เอาจริง ๆ สัปดาห์นี้เป็นสัปดาห์ที่เรารู้สึกเหมือนจะป่วยอยู่ตลอดเวลาและสุดท้ายเราก็เหมือนจะป่วยจริง ๆ เพราะ ณ ตอนที่กำลังเขียนบันทึกนี้อยู่ เรารู้สึกเวียนหัวเหมือนจะเป็นไข้เสียให้ได้สาเหตุหนึ่งอาจมาจากการที่ใช้ร่างกายอย่างไม่บันยะบันยัง นอนดึกจื่นเช้าอยู่เป็นนิจ ส่งผลให้นาฬิกาในร่างกายรวนไปหมด

เมื่อวันพุธที่ผ่านมาเราได้มีการ meeting 1 on 1 กับหัวหน้าเราที่อยู่ในช่วงระหว่างการลาพักฟื้นหลังคลอด เป็นการพูดคุยประเมิณในช่วงการทำงานตอนช่วงทดลองงานที่ผ่านมา เอาจริง ๆ ก็ไม่ได้มี comment หรือ feedback อะไรมากมายเพราะหัวหน้าเราไม่ได้รับร้องเรียนอะไรเกี่ยวกับเราเลยซึ่งเรารู้สึกว่ามันค่อนข้างแปลก

กล่าวตามจริงยิ่งทำงานนานขึ้นเรายิ่งรู้สึกว่าเราสร้างความไม่สบายใจให้คนอื่นมากขึ้นเรื่อย ๆ จะเรียกว่ายิ่งทำงานยิ่งสร้างศัตรูก็ได้ แต่ทั้ง ๆ ที่เป็นเช่นนั้นกลับมีแต่รายงานในเชิงบวกสะท้อนกลับมา เรียกได้ว่าค่อนข้างน่าแปลกใจเล็กน้อย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นคนที่รู้ตัวที่สุดว่าอะไรดีอะไรแย่ก็คือตัวเราเองอยู่ดี

ในสัปดาห์ที่ผ่านมาด้วยความสะเพร่าและเลินเล่อของเราอาจก่อให้เกิดปัญหาหลายครั้งหลายครา นับว่ายังดีที่รู้ตัวและแก้ไขได้อย่างทันท่วงที มิฉะนั้นผลกระทบที่ตามมาก็น่าสงสัยเช่นกันว่าจะก่อคลื่นกระทบเป็นวงกว้างขนาดไหน

สิ่งที่น่าเสียดายที่สุดในช่วงตลอด 1 สัปดาห์ที่ผ่านมาคือเราไม่มีเวลาเหลือพอที่จะทำงานอดิเรก หรือทำในสิ่งที่เราชอบเลย นี่ถือเป็นเรื่องที่น่าเสียดายและเกิดความคาการณ์ของเราไปอย่างมาก 

ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาเราไม่ได้ออกงานเขียนตอนใหม่เลยแม้แต่บทเดียว รวมไปถึงไม่ได้อัด podcast ตอนถัดไปด้วย แม้กระทั่งการขึ้น Live Stream เองก็ไม่สามารถหาเวลามาทำได้ นี่เป็นสิ่งที่น่าหดหู่อย่างยิ่ง แน่นอนว่าการไม่ออกงานเขียน หรือ podcast episode ใหม่ ๆ หรือไม่ได้ขึ้น Live stream ซัก 5 – 10 วันนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่หากไม่ได้ทำติดต่อนาน ๆ แน่นอนว่ามันย่อมกระทบถึงฐานผู้ชมของเราแน่นอน

แม้ว่าที่เราทำทั้งหมดนั้นจะไม่ได้คาดหวังรายได้อะไรจากการทำสิ่งเหล่านั้น เพราะเราไม่ได้เปิดรับรายรับอะไรจากช่องทางดังกล่าวเลยนอกจากเงินโดเนทที่เปิดรับไว้ตามแต่ศรัทธา แต่เมื่อคิดว่าสิ่งที่เราพยายามทำมาตลอดกำลังได้รับผลกระทบอันเนื่องจากงานประจำของเรามันก็แอบรู้สึกหดหู่เล็ก ๆ ไม่ได้

ภาพถ่ายโดย Monstera Production: https://www.pexels.com/th-th/photo/6237930/

สำหรับสัปดาห์นี้เราตั้งใจว่าจะลองบริหารเวลาใหม่ ให้อย่างน้อยที่สุด เราอยากจะเจียดเวลามาอัด podcast 1 ตอน และขึ้นไลฟ์ 2 ครั้งในสัปดาห์หน้า บอกตามตรงว่าเราเริ่มปลงอะไรบางอย่างกับงานประจำของเราแล้วเหมือนกัน มันเหมือนกับการปล่อยวาง เราเหนื่อยที่จะพยายามทำทุกสิ่งทุกอย่างให้ดี โดยแลกกับชีวิตส่วนตัวของเราในขณะที่เราไม่ได้รับอะไรตอบแทนกลับมา ทำให้มุมมองเกี่ยวกับการทำงานของเราเริ่มเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ และคาดว่าไม่นานเราก็คงจะกลายเป็นปลาเค็มเป็นแน่แท้

การกลายเป็นปลาเค็มนั้นไม่ใช่เรื่องแย่ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องดีเช่นกัน เพราะนั้นหมายถึงการที่เรายอมแพ้ที่จะก้าวหน้าหรือเติบโตไปกับสถานที่แห่งนั้นแล้ว เป็นปลาเค็มสนใจเฉพาะสิ่งที่อยู่ตรงหน้า เลิกตั้งคำถาม เลิกสงสัย เลิกสนใจที่จะปรับปรุงอะไร ๆ ให้ดีขึ้น แค่ใช้ชีวิตไปวัน ๆ เข้าและออกงานตรงเวลา อะไรที่มันไม่สามารถทำเสร็จได้หากทำงานเฉพาะในช่วงเวลางาน แต่ก็ยังสามารถทำได้ทันหากเราใช้ความพยายามเพิ่มขึ้นเราก็จะไม่สนใจและปล่อยให้มันเป็นไปตามยถากรรม เพราะถือว่านั่นไม่ใช่หน้าที่ที่เราต้องมาจัดการและเราไม่มีความกระตือรือร้นที่จะจัดการมันให้ดีอีกแล้ว

แต่ก็นั่นแหละ มันเป็นแค่แนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในอนาคต แนวโน้มที่เราจะกลายเป็นปลาเค็ม และออกควานหาแหล่งน้ำใหม่เพื่อให้เราเข้าไปแหวกว่าย เพื่อหาโอกาสผ่านประตูมังกร

เอาจริงในช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมาเราได้ไปเจอบทสัมภาษณ์ของผู้บริหารองค์กรใหญ่ท่านนึงเขากล่าวได้น่าสนใจมากเกี่ยวกับเหตุผลที่บริษัทไม่สามารถเก็บรักษาคนเก่ง ๆ ไว้ได้ ในบทสัมภาษณ์นั้นมีประโยคหนึ่งที่เรารู้สึกค่อนข้างกินใจพอสมควร 

เมื่อมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น ความยุติธรรมที่มาช้า คือความอยุติธรรม
และเมื่อถึงจุดหนึ่งความอยุติธรรมจะกลายเป็นความเกลียดชัง

เมื่อสังเกตจากคนรอบข้างรวมถึงคนที่เคยทำงานด้วยกันมาตลอดไม่ว่าจะในองค์กรใดก็ตาม เราเชื่อว่ามีเพียงเราคนเดียวที่ยึดถือแนวคิดนี้ และพยายามอย่างยิ่งที่จะยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือน้องในทีมหรือคนที่อยู่ข้างหลังเราเมื่อเขาต้องการความช่วยเหลือ

การที่เราไม่สามารถออกหน้ารับผิดชอบกับความผิดพลาดของคนในทีมตัวเองได้ เราก็ไม่ควรเรียกตัวเองว่าหัวหน้าทีม แน่นอนว่าโครงสร้างองค์กรในปัจจุบันนั้นแตกต่างกันออกไปและถึงแม้ว่าทีมที่เราบริหารจะไม่ได้ขึ้นตรงต่อเรา หรือเราไม่ใช่หัวหน้าโดยตรงของเขา แต่ในฐานะที่เป็นคนบริหารจัดการของทีม ในทางพฤตินัย นั่นคือการที่เราเป็นหัวหน้าเขาไปครึ่งตัวแล้ว หากมีความผิดพลาดอะไรที่เกิดขึ้นจากคนของเรา มันก็เป็นหน้าที่อย่างหนึ่งที่เราต้องออกหน้ารับผิดชอบแทนหรือรับผิดชอบร่วมกัน นี่เป็นหลักการที่เราเชื่อและยึดถือมาตลอด

เหมือนนอกเรื่องมาไกลพอสมควร เอาตามจริงสัปดาห์นี้เป็นหนึ่งในสัปดาห์ที่วุ่นวายพอสมควร เราเองก็ไม่ได้อ่านหนังสืออะไรใหม่ ๆ เลยเพราะกว่าจะมีเวลาว่างมันก็ดึกมากแล้ว หากจะนอนอ่านหนังสือใน iPad อีกก็เกรงว่าคงจะไม่ได้หลับเพราะแสงสีฟ้าเป็นแน่ มันเลยทำให้เรามีความคิดที่จะซื้อ Kindle หรือ Boox อยู่บ้าง แต่ก็ยังไม่สามารถที่จะตัดสินใจได้ คิดว่าคงต้องรอดูต่อไปอีกสักระยะว่าเราจะซื้อดีหรือไม่ และถ้าซื้อควรจะซื้อของค่ายไหนดี

สำหรับการบันทึกตัวเองประจำสัปดาห์นี้เราขอตัดจบไว้เพียงเท่านี้ก่อนละกัน

แล้วเจอกันใหม่สัปดาห์หน้าครับ