ไดอารี่

ชีวิตผ่านบันทึก: ย่างเข้าสู่วัยเลข 3

สวัสดีครับจริง ๆ บล็อกนี้ควรจะออกตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้วแต่ลืมแหละก็เลยขอถือโอกาสรวบยอดเป็นครึ่งเดือนแรกของเดือนกรกฏาคมเลยละกัน

ช่วงครึ่งเดือนแรกนี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนหลาย ๆ อย่างในชีวิตเราเลยก็ว่าได้เพราะในที่สุดเราก็เข้าสู่ชีวิตวัยเลข 3 แบบเต็มตัวแล้วจริง ๆ เอาจริงตอนแรก ๆ เราก็ตื่นเต้นนะ แบบว่า เห้ย เราเลข 3 แล้วนะเว้ยแต่แบบพอมามองย้อนดูตัวเองดี ๆ แบบจริง ๆ จัง ๆ ก็แอบท้อเล็ก ๆ 

เพราะนอกจากประวัติการทำงานที่พอจะดูโดดเด่นบ้างกับการที่กระเสือกกระสนตัวเองไต่เต้าบันไดทางสังคมจนได้มาโลดแล่นอยู่ต่างแดนด้วยความสามารถและกำลังของตัวเองโดยไม่ต้องพึงพาครอบครัวที่ไทยแล้วเราก็ไม่มีอะไรสำเร็จเป็นชิ้นเป็นอันซักอย่าง

ในด้านการเริ่มต้นสร้างความมั่นคงในชีวิต ปัจจุบันเรายังไม่มีอสังหาเป็นของตัวเอง แน่นอนว่าหมายถึงบ้านหรือคอนโดนั่นแหละ ว่าง่าย ๆ คือยังไม่มีที่ซุกหัวนอนที่เราซื้อและเป็นชื่อของเราเอง เรื่องรถหรือพาหนะเรามองว่ามันไม่ได้เป็นปัจจัยหลักขนาดนั้นแต่ก็นั่นแหละ ยังไม่มีเช่นกัน (ฮา) 

จริง ๆ การอาศัยอยู่กับครอบครัวไม่ใช่เรื่องแย่อะไร แต่มองในมุมของอนาคตที่เราต้องมีครอบครัวเป็นของตัวเอง เราก็อยากจะแยกตัวออกมาอยู่กับคนของเราเองมากกว่าที่จะอาศัยอยู่กับพ่อแม่ล่ะนะแน่นอนว่านี่คงจะกลายเป็นเป้าหมายหลักของเราหลังจากที่ตัดสินใจย้ายภูมิลำเนากลับไทยในช่วงปลายเดือนหน้า

ภาพถ่ายโดย Pixabay: https://www.pexels.com/th-th/photo/327483/

เมื่อพูดถึงเรื่องการสร้างครอบครัว อีกจุดที่จะไม่เอ่ยถึงไม่ได้เลยคือ

โสดครับ

อยากมีแฟนโว้ยยยยย

ใช่ ถึงจะเตรียมแผนสำหรับการเริ่มต้นสร้างครอบครัวไว้มากมายแค่ไหน แต่ถ้าไม่มีคนที่จะมาสร้างครอบครัวด้วยกันก็ไม่มีความหมาย เอาจริงในช่วงงานเทศกาลทานาบาตะที่เพิ่งผ่านไปเมื่อวันที่ 7 ก็ลองเขียนขอพรให้ได้แฟนสาวน่ารัก ๆ ด้วยเหมือนกัน ไม่รู้ว่าหนุ่มเลี้ยงวัวกับสาวทอผ้าจะสามารถดลบันดาลให้เราได้หรือเปล่า ยังไงก็คงต้องรอลุ้นกันต่อไป

หลายคนอาจจะสงสัยว่าเราก็ดูโหรกับเปิดไพ่ทำนายเป็นนี่นาทำไมไม่ลองดูให้ตัวเองล่ะ คำตอบคือเคยดูนะแล้วหลายครั้งผลลัพท์มันออกมาในเชิงบวกว่าเราจะได้เจอคนดี ๆ ที่ตอบโจทย์เราเข้ามาในชีวิต ซึ่งเขาก็เข้ามาจริง ๆ ตามที่ทำนายนั่นแหละ

แต่ว่า…  !!

พอมันเป็นเรื่องเกี่ยวกับความรักหรืออะไรแบบนี้ เรามักจะมีปัญหาด้านการแสดงออกในการเข้าหาคนอื่น ถ้ามันไม่จบลงด้วยการที่สุดท้ายเราเลือกจะไม่ทำอะไรเลย มันก็จะกลายเป็นถูกมองว่าเป็นคนแปลก ๆ ที่มีนิสัยแปลก ๆ ควรเว้นระยะห่างเอาไว้ (ฮา)

ทีนี้มันก็จะนำไปสู่คำถามต่อไปที่ว่าถ้าเราเป็นแบบนี้แล้วที่คนที่ผ่าน ๆ มาที่เราเคยคบด้วยล่ะเริ่มต้นกันยังไง ? 

คงสามารถบอกได้อย่างหน้าไม่อายเลยว่า อีกฝ่ายเป็นคนเริ่มเข้าหาเราก่อน คือจะว่ายังไงดี เรามักจะมีปัญหาในตอนต้นว่าจะเข้าหายังไง จะส่งผ่านความรู้สึกยังไงดีในตอนแรก แต่พอถ้ามันได้เริ่มแล้วมันก็จะไหลไปเองตามธรรมชาติ

ชีวิตโคตร Looser เลยใช่มะ

จริง ๆ ก็เคยพยายามแก้ไขเรื่องพวกนี้อยู่นะ เคยถึงขั้นเซิจหาวิธีเริ่มต้นบทสนทนากับเพศตรงข้ามในเว็บบอร์ดของญี่ปุ่นแล้วนั่งอ่านแบบจริง ๆ จัง ๆ อยู่ช่วงนึงเลย แต่ก็เหมือนว่ามันจะใช้ไม่ได้กับเรา (ฮา)

Photo by Charles Postiaux on Unsplash

เอาล่ะเราข้ามหัวข้อนี้กันเถอะ 

ถัดไปเป็นเรื่องอะไรดีล่ะเรื่องความสำเร็จในแวดวงด้านการศึกษาเหรอ เอาจริงจะถือว่าประสบความสำเร็จดีมั้ยนะ เอาจริงมันก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จอะไรหรอก แต่ก็แค่รู้สึกว่ามันก็ไม่ได้แย่เพราะในที่สุดเราก็มีวุฒิปริญญาโทกับเขาแล้ว ถึงจะเป็นปริญญาโทด้านการบริหารแต่เราก็ภูมิใจเพราะมันคือปริญญาใบแรกที่เราส่งเสียตัวเองเรียนจนจบ แถมเกรดที่ออกมาก็ถือว่าไม่ได้แย่เลย ตอนที่เห็นเกรดว่าจบออกมาได้ด้วยเกรด 3.97 เราแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง 

แถมงานวิจัยเราก็ได้รับการยอมรับให้เผยแพร่จากมหาลัยทั้ง 2 แห่งซึ่งก็คือมหาลัยโดชิฉะ ซึ่งก็ถือว่าเป็นหนึ่งในมหาลัยชั้นนำในแถบคันไซ กับอีกที่คือมหาลัยโตเกียว ชื่อนี้คงไม่ต้องอธิบายให้มากความเพราะเขายืนหนึ่งมานานแล้ว เป็นมหาลัยระดับท็อปของแถบเอเชียและระดับโลก เพราะงั้นก็คงสรุปได้ว่า ไม่ได้แย่ล่ะมั้ง (ฮา)

นอกจากเรื่องที่เราก้าวเข้าสู่วัยเลข 3 แล้ว จริง ๆ ยังมีเหตุการณ์สำคัญอีก 1 อย่างเกิดขึ้นในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา นั่นคือบัตรมายนัมเบอร์ของเราหมดอายุ…

ต้องอธิบายก่อนว่าสำหรับช่วต่างชาติที่อาศัย (ระยะยาว) อยู่ในประเทศเกาะแห่งนี้เราจะมีบัตรประจำตัว 2 ใบ ใบแรกคือไซริวการ์ด หรือบัตรประจำตัวต่างด้าวนั่นแหละ ซึ่งเป็นการออกเพื่อยืนยันว่าเราอาศัยอยู่ในประเทศนี้อย่างถูกกฏหมาย (ตราบใดที่บัตรยังไม่หมดอายุล่ะนะ) กับอีกบัตรที่เรียกว่า ‘มายนัมเบอร์’ ซึ่งบัตรนี้ทำหน้าที่เหมือนเป็นบัตรประจำตัวประชาชนสำหรับคนที่อาศัยอยู่ในประเทศนี้ทุกคน (แน่นอนว่ารวมถึงคนญี่ปุ่นด้วย) เจ้าบัตรมายนัมเบอร์นี้จะใช้สำหรับการทำธุรกรรมต่าง ๆ ทั้งใช้ยืนยันตัวตน ใช้แทนบัตรประกันสุขภาพ ฯลฯ แต่เรื่องที่น่าขัดใจอย่างยิ่งคือบัตรสองใบนี้จะมีวันหมดอายุวันเดียวกัน และขั้นตอนการต่ออายุจะไม่สามารถทำพร้อมกันได้ ทำให้เราต้องไปต่ออายุไซริวการ์ดก่อนแล้วนำไซริวการ์ดใหม่ไปต่ออายุบัตรมายนัมเบอร์ส่งผลให้หลายคน (รวมถึงเรา) ลืมไปต่ออายุมายนัมเบอร์ (ฮา) 

พอลืมต่อจนบัตรมันหมดอายุ ทีนี้ความวุ่นวายก็จะตามมา เพราะต้องเดินเรื่องใหม่หมดตั้งแต่ต้นเพื่อขอเปิดบัตรซึ่งจะใช้เวลานานมาก ๆ แถมยังต้องเสียเงินค่าธรรมเนียมสำหรับทำบัตรใหม่ด้วย (เห็นเขาว่าถ้ามาต่ออายุเฉย ๆ ก่อนบัตรหมดอายุจะทำให้ฟรีนะ) แต่ทั้งนั้นทั้งนี้ ถึงมันจะยุ่งยากและใช้เวลานนานเราก็ต้องจำใจมาทำล่ะนะ เพราะไม่อย่างนั้นการทำธุรกรรมบางอย่างในประเทศนี้จะมีปัญหา (ถึงแม้ว่าเราจะอยู่เกาะถึงอีกแค่ปลายเดือนหน้าก็เถอะ) 

พอได้หยิบมาเขียนรวบยอด 2 สัปดาห์ก็แอบรู้สึกว่ามันจะกลายเป็น Blog ที่ยาวเหมือนกันแฮะ แต่คิดว่าต่อไปจะพยายามกลับมาเขียน self reflect แบบรายสัปดาห์เหมือนเดิมแหละ ครั้งนี้จะเป็น exception แค่ครั้งเดียว… (หวังว่านะ)

เพราะ ฉะ นั้น !!

เราขอจบ Blog ของคราวนี้ไว้แต่เพียงเท่านี้ก่อนก็แล้วกัน

แล้วไว้พบกันใหม่สัปดาห์หน้า สวัสดีครับ