ไดอารี่

บันทึกความทรงจำครั้งที่ 2 ประจำปีเรย์วะที่ 6

ตอนนี้ก็เข้าสู่เดือนมิถุนายนอย่างเป็นทางการแล้ว เลยคิดว่าอยากจะเขียนสรุปบันทึกความทรงจำสำคัญ ๆ ของเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาเอาไว้ 

เมื่อกลางเดือนที่แล้ววันที่เราขอลาเพื่อที่จะไปรับวีซ่า จู่ ๆ ก็มีพี่ระดับเมเนเจอร์ในที่ทำงานคนนึงมาขอคุยกับเราแบบส่วนตัว ในตอนแรกเราก็คิดว่าคงเป็นเรื่องงานซักเรื่องแหละเพราะที่นี่ความลับเยอะแยะยิบย่อยวุ่นวายมาก ถ้าให้เปรียบเทียบเราคิดว่ามันมากกว่าที่ทำงานเก่าเราเสียอีก แต่พอได้เริ่มคุยเราก็รู้แล้วว่ามันไม่ใช่ เพราะประโยคเปิดบทสนทนาที่เราได้รับคือ

“เราทำงาน มีปัญหาอะไรบ้างมั้ย?” 

เอาล่ะ เราควรตอบว่ายังไงดีนะ มีมั้ยมันก็มีแหละ มีเยอะด้วย แต่เราควรจะตอบยังไงเพื่อไม่ให้มีผู้เสียหายดีอันนี้สิยาก แค่ทุกวันนี้ยิ่งทำงานนานเข้า ๆ ก็รู้สึกเหมือนยิ่งไปสร้างความรำคาญหรือความไม่สะดวก ทำตัวเป็นอุปสรรค์แก่คนนั้นคนนี้เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ประหนึ่งเหมือนยิ่งทำงานยิ่งสร้างศัตรู (ฮา) เพราะงั้นถ้าเป็นไปได้ก็ไม่อยากให้คำตอบอะไรของเรามันไปส่งผลกระทบต่อใครเลยจริง ๆ 

แต่เมื่อยิ่งตอบเขาก็ยิ่งขุดคุ้ยจนสุดท้ายมันก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเล่าออกไป ส่วนผลลัพธ์สุดท้ายจะเป็นยังไง อันนี้มันเกินขอบเขตที่เราจะก้าวก่ายได้แล้ว เฮ้อ เอาจริง ๆ มันทำเรานอยด์ไปวันนึงเลย ไม่ใช่ว่าเราเป็นคนดีอะไร เพราะเราก็คอมเม้นหรือว่าตรง ๆ ต่อหน้าเหมือนกันถ้ามันผิด หรือถ้าเราทำผิดเราก็ขอโทษเหมือนแต่ แต่มันก็จะจบลงตรงนั้น ต่างฝ่ายต่างไปปรับแก้กันไป แต่คำตอบของเราในวันนั้นคือมันไปถึงระดับเมเนเจอร์ซึ่งเขาก็น่าจะเอาไปพูดต่อกับระดับสูงอีกทีหนึ่ง แล้วผลลัพธ์มันจะเป็นยังไงอันนี้เราก็ไม่รู้แล้วเหมือนกัน

Photo by Stormseeker on Unsplash

“เรารู้สึกว่างานเราเยอะเกินไปหรือเปล่า?”

คำถามต่อมาเป็นอีกคำถามที่ทำเราอึดอัดพอสมควร เราควรตอบยังไงดีล่ะ ถ้าเราตอบว่าเยอะครับ เขาจะมองยังไง เพราะถ้าถามว่าไหวมั้ยมันก็ไหวแบบเฉียดฉิวแหละ ถ้าไม่มีโปรเจคใหญ่ ๆ เข้ามาพร้อมกันมันก็ได้ชิว ๆ แต่พอมีโปรเจคใหญ่ ๆ พร้อมกันมันก็จะตึง ๆ แบบเฉียดฉิวชนิดที่ไม่ต้องทำอย่างอื่นเลยนอกจากตื่นมา ทำงาน แล้วก็นอน (ฮา) ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าเขาประเมิณว่างานของเรามันเยอะในสายตาเขาหรือเปล่าด้วย ถ้าเขามองว่ามันไม่ได้เยอะอะไร แล้วเราตอบว่าไม่ไหว มันก็คงต้องมีขมวดคิ้วกันบ้างแหละ 

แต่ถ้าเราตอบว่าไหวล่ะ จะเกิดอะไรขึ้น? ถ้าเขาประเมิณว่างานเรามันเยอะเกินแต่เราดันไปตอบว่าไหว เราจะกลายเป็นเด็กที่ไม่รู้จักประมาณตนทันทีซึ่งมันก็แน่ล่ะ เพราะสถานการณ์ของเราตอนนี้จะว่าเยอะมั้ยมันก็เยอะ จะว่าไม่เยอะมั้ยมันก็ไม่ได้เยอะขนาดนั้น น่าเสียดายที่ภาษาไทยไม่สามารถให้คำจำกัดความของคำว่า キリキリ (กิริกิริ) ได้ เพราะสถานการณ์ของเราตอนนี้ถ้าให้อธิบายก็คงจะตรงกับคำว่า キリキリ นี่แหละ

“ผมเลิกมองว่างานมันเยอะกินไปหรือเปล่าไปหลายปีละครับ ผมมองแค่ว่าปริมาณและความรับผิดชอบที่เราต้องแบกรับ สิ่งที่เรามอบให้ไปกับสิ่งที่เราได้รับกลับมามันสมเหตุสมผลกันหรือเปล่าแค่นั้น”

นี่คือสิ่งที่เราตอบกลับไป ใช่เพราะเราเลิกคิดไปนานแล้วว่างานหนักหรือเปล่า เพราะงานมันหนักทุกที่แหละ มีที่ไหนบ้างที่งานสบายแล้วได้เงินเดือนดี ไม่มีหรอก ปัญหามันอยู่ตรงที่มันสมดุลกันหรือเปล่าแค่นั้น ถ้ามันสมดุลกัน ทุกสิ่งทุกอย่างมันก็ราบลื่น แต่ถ้ามีฝั่งใดฝั่งนึงเสียสมดุลเมื่อไหร่อีกฝั่งก็จะเริ่มตั้งคำถามถึงความเหมาะสมแล้ว

แต่เขาก็ให้แง่คิดที่ดีกลับมาเหมือนกันนะกับคำตอบนี้ เขาสอนให้เรามองว่าตอนนี้เราได้ทำสุดความสามารถหรือยัง ถ้าเราทำได้ดีที่สุดแล้วสิ่งที่ตอบแทนมันก็อาจจะสมเหตุสมผลเอง แต่เขาก็ทิ้งท้ายไว้ด้วยว่าไม่รู้ว่าทฤษฏีนี้มันจะใช้ได้กับที่นี่หรือเปล่า 

อ่าว ไหงงั้น ทำไมพี่ยังไม่แน่ใจเลยอ่ะ (ฮา)

ซึ่งเอาจริงพอคุยกันมาถึงตรงจุดนี้มันก็มีเรื่องบางเรื่องที่ ณ ตอนนั้นมันคาอยู่ในใจเราสักพักเลย เพียงแต่ไม่ได้พูดออกไป เอาจริงเราก็ช่างใจอยู่สักพักเลยว่าควรพูดถึงดีมั้ย แต่ถ้าพูดออกไปเราจะดูเหมือนคนเห็นแก่เงินทันทีสุดท้ายเลยตัดสินใจที่จะไม่พูดแล้วเก็บเงียบเอาไว้ในตอนนั้น

ภาพถ่ายโดย cottonbro studio: https://www.pexels.com/th-th/photo/4069291/

เรื่องของเรื่องก็คือในตอนที่เรา burnout มาก ๆ จนอยากจะหนีออกมา เราเคยมานั่งคำนวณว่าเวลาที่เราใช้ไปกับการทำงานในบ.คือกี่ชั่วโมงต่อวัน แล้วด้วยจำนวนเวลาเท่ากันถ้าเราไปทำงานพาร์ทไทม์เดิมที่เราเคยทำในประเทศเกาะคือการไปเป็นพนักงานทำความสะอาดในโรงแรมรายรับที่เราได้จากงานพาร์ทไทม์เมื่อเทียบกับผลตอบแทนที่เราได้รับจากบ.แล้วเป็นยังไงบ้าง

ผลคือถ้าเราทำพาร์ทไทม์เราจะได้ค่าตอบแทนมากกว่าราว ๆ 1.3 เท่า นี่ยังไม่รวมค่าเดินทางและเงินพิเศษอื่น ๆ ที่อาจได้รับจากแขก มันเลยชวนให้เราตั้งคำถามกับตัวเองอยู่ช่วงหนึ่งเลยว่าสิ่งที่เราได้เลือกตอนนี้คือสิ่งที่ถูกต้องหรือไม่

เอาจริงการจะเทียบแบบนั้นมันก็ไม่ถูกต้องเสียทีเดียวเพราะเราเทียบกับเรทรายได้จากงานพาร์ทไทม์ของประเทศเกาะกับเงินเดือนของประเทศไทย แต่ก็แน่ล่ะเพราะเราอาศัยอยู่ในประเทศเกาะนี่นา แถมเรทนี้ที่เราเอามาเทียบยังเป็นเรทก่อนที่จะมีการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำทั่วประเทศด้วย ซึ่งในปัจจุบันมันก็ไม่ใช่เรทนี้แล้ว แต่เมื่อเทียบกันในเรื่องของเนื้องานความรับผิดชอบที่น้อยกว่าและได้ผลตอบแทนมากกว่ามันก็ทำเอาเราเป๋ไปช่วงใหญ่ ๆ เลยทีเดียว

เอาจริงตอนนี้ก็ยังคงคิดเรื่องนี้อยู่ ถึงจะไม่มากเท่าเมื่อเดือนก่อนก็เถอะ นอกจากนี้ยังมีประเด็นเรื่องการไม่มีการปรับเงินเดือนประจำปีที่เราได้ยินมาในช่วงนั้นสุดท้ายเลยจบลงที่การไปเปิดสถานะเป็น “Open to work” บน Linkedin จนมีทั้งบริษัทและ Recruiter ติดต่อเข้ามามากหน้าหลายตา (ฮา)

แต่ก็นั่นแหละ มันเป็นเรื่องของเดือนที่ผ่านมา ถ้าถามว่าตอนนี้เรามองเรื่องนี้ยังไง ก็คงตอบได้ว่ายังคงเฝ้ามองประเด็นนี้อยู่เนือง ๆ แต่ความรู้สึกมันไม่ได้รุนแรงเท่าเมื่อตอนนั้นแล้ว ถึงแม้ว่าจะไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงก็เถอะ แต่เราจะลองทำความคำแนะนำของพี่เขาดูก่อน ว่าถ้าเราทำเต็มความสามารถ บริหารจัดการมันออกมาให้ดีเปิดหน้าชนกับทุกอย่างแล้วผลมันจะเป็นยังไง มันจะกลับมาสมดุลหรือไม่แล้วค่อยตัดสินใจเรื่องนี้อีกที

รู้สึกว่าเขียนมายาวเหมือนกันแฮะ เอาเป็นว่าเราขอตัดจบไวเพียงเท่านี้ก่อนละกัน

สำหรับใครที่หลงเข้ามาแล้วรู้สึกว่าอ่านรู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้างยังไงก็ขออภัยด้วย เนื่องจากเราพยายามลดทอนเนื้อหาบางส่วนที่เป็นประเด็นอ่อนไหวมาก ๆ ออกไป มันเลยอาจทำให้รู้สึกว่าเนื้อความไม่ประติดประต่อกันบ้างเป็นบางครั้ง ยังไงก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ‘บันทึกความทรงจำ’ อันนี้เราตั้งใจเขียนขึ้นมาเพื่อให้ตัวเราในอนาคตเวลาย้อนกลับมาอ่าน มันจะได้ไปกระตุ้นความทรงจำบางส่วนขึ้นมาว่าในอดีตมันก็เคยเกิดเรื่องราวแบบนี้กับชีวิตเราเหมือนกันนะ (ฮา)