เมื่อช่วงต้นเดือนที่ผ่านมาเราได้มีโอกาสไปงานคอมมิกเกะ (comic market) ครั้งที่ 104 ที่โตเกียวมา บอกตามตรงเลยว่านี่เป็นหนึ่งในความฝันเมื่อครั้งวัยเยาว์ของเราเลยก็ว่าได้ การได้ไปงานคอมมิกเกะเป็นความปรารถนาของเราตั้งแต่สมัยเด็ก ๆ แต่เนื่องด้วยข้อจำกัดหลายอย่างทำให้เราไม่มีโอกาสในการมางานนี้เลย นี่จึงเป็นงานคอมมิกเกะครั้งแรกในชีวิตของเรา (ซึ่งก็ไม่รู้ว่ามันจะกลายเป็นครั้งสุดท้ายด้วยหรือเปล่า)
อย่างที่หลายคนทราบว่างานคอมมิกเกะนั้นแบ่งออกเป็น 2 วันซึ่งต้องซื้อตั๋วแยกกัน และแน่นอนว่าร้านที่มาออกบูธในงานทั้งสองวันนั้นแตกต่างกัน เอาล่ะแน่นอนว่ามันต้องมีร้านที่เข้าร่วมทั้งสองวันบ้าง แต่ที่แน่นอนเลยคือตำแหน่งของบูธทั้งสองวันนั้นเป็นคนละที่กัน ยกเว้นโซน corporate ที่เปิดให้บริษัทต่างๆมาออกบูธซึ่งจะเป็นเพียงโซนเดียวที่ตำแหน่งบูธจะเหมือนกันทั้งสองวัน
หากจะให้บรรยายความรู้สึกที่ได้ไปงานมาคงจะมีเพียงไม่กี่คำที่สามารถบรรยายความรู้สึกที่อยู่ภายในใจเป็นหมื่นล้านคำออกมาได้ นอกจากคำว่า เหนื่อย ร้อน และปวดขา
ใช่ครับมันร้านมาก อีกทั้งยังเป็นงานที่สูบพลังชีวิตคุณไปได้อย่างตะกระตะกรามที่ทำให้คุณแทบจะไม่อยากทำอะไรอย่างอื่นเลยนอกจากล้มตัวลงนอนเมื่อกลับถึงโรงแรมที่พัก แต่เอาล่ะ เราก็ขอยอมรับเลยว่าการได้ไปเดินในงานนี้สามารถเปิดโลกเราไปได้มากเหมือนกัน
ในมุมมองของเรางานคอมมิกเกะนอกจากจะเป็นอีเว้นการขายโดจินที่ใหญ่และเก่าแก่ที่สุดแล้ว ยังเป็นพื้นที่ที่เปิดกว้างให้คนมาแลกเปลี่ยนพูดคุยแสดงหลงไหลในสิ่งที่ตัวเองชอบได้ ซึ่งสำหรับเราเรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก
ใครที่คิดว่าภายในงานเราจะถูกรายล้อมไปด้วยการ์ตูนผู้ใหญ่ทั่วทั้งฮอล เราขอบอกเลยว่ามันไม่ใช่ เพราะแต่เดิมแล้วคำว่าโดจินเองก็ไม่ได้จำกัดว่าต้องเป็นการ์ตูนผู้ใหญ่เสมอไป นอกจากนี้ภายในงานยังมีบูธต่าง ๆ มากมายที่ไม่ได้มาขายโดจิน แต่มาขายสินค้าทำมือหรือของที่ระลึกที่บรรดาแฟนคลับทำกันเอง รวมไปถึงมีแม้กระทั้งอุปกรณ์และพร็อบสำหรับคอสเพลย์ หรือแม้กระทั้งเพลง
ใช่ครับ มันมีเพลงที่ Songwriter และ Composer ต่างงัดเอาผลงานที่ตัวเองภูมิใจมาออกเป็น Single หรือ Album ขายเพื่อโปรโมทตัวเองกันถ้วนหน้า ถือว่าเป็นอีกหนึ่งพื้นที่ ๆ เปิดโอกาสให้คนเหล่านี้มาแสดงความสามารถและ connected กับบรรดาแฟน ๆ ผลงานของตัวเองจนบางครั้งเราก็แอบคิดเหมือนกันว่าง หรือบางทีเราควรจะผลิตงานออกมาขายบ้างดี (ฮา) แต่คนที่ยังรู้จักเราในฐานะอุไตเตะ (Utaite) หรือในฐานะนักเขียนเพลงตอนนี้ก็คงเหลือไม่มากนัก (ถึงจะเป็นเมื่อก่อนก็มีคนรู้จักไม่มากนักอยู่ดี) เลยคิดว่าถึงจะทำออกมาก็คงจะขายไม่ได้มากนัก
เอาล่ะจากนี้จะเป็นคำแนะนำตัวโต ๆ สำหรับคนที่อยากมางานคอมมิกเกะ
สำหรับใครที่อยากมาลองสัมผัสงานแบบนี้สักครั้ง เราแนะนำว่าควรซื้อบัตรของทั้ง 2 วัน อย่างที่เราพูดถึงไปแล้วเมื่อต้น Blog ว่าบูธที่มาออกในงานทั้งสองวันนั้นไม่เหมือนกัน และธีมของแต่ละฮอลของงานทั้ง 2 วันก็แตกต่างกัน เพราะฉะนั้นสำหรับใครที่อาศัยอยู่นอกญี่ปุ่นไม่เหมือนเรา เราขอแนะนำว่าถ้าไหน ๆ จะต้องเสียค่าตั๋วเครื่องบินกับค่าโรงแรมแล้วก็เข้าทั้งสองวันเอาให้มันคุ้ม ๆ กันไปเลย แล้วยิ่งถ้ามีโอกาส ควรจะเซื้อตั๋วแบบ Early pass ไว้ก็ดี เพราะการต่อคิวเข้างานนั้นยาวมาก และถึงแม้เราจะถือตั๋ว AM แต่กว่าจะได้เข้างานก็ปาเข้าไปเที่ยงกว่า ๆ แล้วทั้งสองวัน ดังนั้นหากไม่สามารถหาตั๋ว Early pass แล้วต้องซื้อเป็นตั๋ว AM จริง ๆ เราแนะนำว่าควรมาถึงสถานที่จัดงานแต่เช้าเพื่อมาเข้าคิวต่อแถวแต่เนิ่น ๆ จะดีกว่า
และส่วนสำคัญเลยคือถ้าเป็นไปได้มาช่วงงานหน้าหนาวจะดีต่อใจสุด อันนี้ไม่ได้หมายถึงเรื่องของสินค้าหรืออะไรนะ แต่หมายถึงสภาพอากาศล้วน ๆ เลย ซึ่งมันอาจเพราะเรามีประสบการณ์ไปงานในช่วงหน้าร้อนจึงทำให้เรารู้สึกว่าการมาคอมมิกเกะช่วงหน้าร้อนนี่ไม่ต่างจากการลงนรกดี ๆ นี่เอง เพราะนอกจากอากาศภายนอกฮอลจะร้อนแล้ว อากาศภายในฮอลก็ไม่ได้เย็นเลยแม้แต่น้อย ซึ่งมันอาจเป็นพลพวงจากการที่มีจำนวนคนในฮอลมากทำให้ไม่รู้สึกเย็นขึ้นก็ตาม แต่ความร้อนที่ต้องทนตลอดทั้งงานตั้งแต่เช้าจรดบ่าย ๆ เย็น ๆ นั้นไม่ใช่เรื่องตลก มันถึงขั้นที่เราต้องพิจารณาอย่างจริงจังว่าจะเข้าร่วมงานในวันที่ 2 ดีหรือเปล่า
ดังนั้นถ้าหากถามว่าเราจะมางานคอมมิกเกะอีกมั้ยเราคงตอบได้แต่เพียงว่า หากเลือกได้คงขอมาช่วงงานคอมมิกเกะหน้าหนาวจะดีกว่า และเราคงจะเข็ดกับคอมมิกเกะหน้าร้อนไปอีกนาน