สวัสดีทุกคนครับ เอาจริง Blog นี้ไม่ควรจะเกิดขึ้นด้วยซ้ำเพราะใจจริงเราตั้งใจจะเขียนรีวิวสรุปเรื่องราวใน Blog ก่อนหน้าแต่สุดท้ายก็กลายเป็นนอกเรื่องไปเสียยืดยาวจนไม่ได้เล่าถึงชีวิตสองปีกว่า ๆ ที่เราย้ายมาอยู่ประเทศเกาะในรอบนี้ไปได้
สำหรับการได้มาอาศัยอยู่ในประเทศเกาะรอบนี้เองก็เป็นการย้ายมาอยู่แบบระยะยาวอีกครั้งหนึ่งหลังจากที่กลับไปประเทศไทย และไป ๆ มา ๆ ญี่ปุ่นเป็นทริปสั้น ๆ อยู่หลายครั้งโดยวัตถุประสงค์ในฉากหน้าคือมาเรียนต่อปริญญาโท แต่ในความเป็นจริงคือเราแค่อยากหาข้ออ้างเพื่อย้ายออกจากประเทศไทยชั่วคราวและย้ายมาอยู่เกาะก็เพียงเท่านั้น
สารภาพว่าตอนย้ายบ้านมาอยู่เกียวโตช่วงแรก ๆ ค่อนข้างทุลักทุเลพอสมควรเนื่องจากมันไม่เหมือนครั้งก่อนที่เรามีครอบครัวโฮสทางฝั่งญี่ปุ่นคอยช่วยเหลือเราในการเดินเรื่องกับเขตเพื่อแจงย้ายเข้า การขอใบต่างด้าว ทำประกันสุขภาพแห่งชาติ การเปิดบัญชีธนาคาร รวมไปถึงเบอร์โทรศัทพ์ ซึ่งในครั้งนี้เราต้องเดินเรื่องทุกอย่างด้วยตัวเองหมด จัดว่าค่อนข้างลำบากพอตัว นี่ยังไม่รวมถึงการหาบ้านและทำสัญญาเช่าอีกนะ
เรื่องการหาที่อยู่อาศัย การทำสัญญา และการย้ายบ้านเราเคยอธิบายไปโดยละเอียดแล้วใน Live เก่า ๆ ฉะนั้นเราจะขอข้ามเรื่องพวกนี้ไปเลยก็แล้วกัน หากใครสนใจเราเชื่อว่าเรื่องพวกนี้น่าจะสามารถหารายละเอียดเพิ่มเติมได้ตาม internet หรือหากใครที่รู้ตัวตนที่ 2, 3 หรือ 4 ของเราก็น่าจะสามารถกลับไปหา Live นั้นเพื่อย้อนดูได้ไม่ยาก
เอาจริงนอกจากเรื่องการเตรียมการอะไรพวกนั้นแล้ว การเข้าประเทศเองก็ยากไม่แพ้กัน ช่วงที่เราย้ายประเทศในครั้งนี้เป็นช่วงเดียวกับที่สถานการณ์โควิตกำลังแพร่ระบาดเป็นวงกว้าง ส่งผลให้หลายประเทศมีมาตรการรับมือที่เข้มงวดสำหรับบุคคลที่จะเดินทางเข้าประเทศ ทำให้เราต้องเดินเรื่องและผ่านหลายขั้นตอนมากกว่าจะสามารถเดินทางเข้าประเทศญี่ปุ่นได้ในครั้งนั้น
เอาล่ะวกกลับมาสู่ช่วงสองปีครึ่งที่เราอาศัยอยู่ในประเทศเกาะครั้งนี้ ต้องบอกว่าเอาจริง ๆ แล้วชีวิตสองปีกว่าที่ผ่านมาของเราไม่ได้หวือหวาอะไรมากมากนัก จะเรียกว่าค่อนข้างจืดชืดกว่านักเรียนแลกเปลี่ยน หรือนักเรียนนอกทั่วไปก็ได้เพราะเราไม่ได้ออกไปเที่ยวตามสถานที่ต่าง ๆ บ่อยนัก เนื่องด้วยอุปนิสัยและสภาพคล่องทางการเงินของเรา
เอาจริง ๆ ถ้าเราจะใช้ชีวิตลั่นล้าตามประสานักเรียนนอกเราก็สามารถทำได้ด้วยการซัพพอร์ทจากที่บ้าน หากแต่ด้วยความดื้อรั้นและอีโก้ที่สูงส่งเสียดฟ้าของเราขนาดที่ว่าหากกระโดดลงมาจากยอดแท่งอีโก้จนถึงพื้นฐานของความเป็นจริง เราคงคอหักตายได้ เพราะเราเลือกที่จะส่งเสียค่าเทอมและการใช้ชีวิตในประเทศเกาะด้วยเงินเก็บของตัวเองทั้งหมดมันก็เลยมีทางเลือกไม่มากนักสำหรับเรานอกจากต้องใช้ชีวิตอย่างประหยัดและรัดกุมในระดับหนึ่ง แต่เอาเข้าจริงเราก็ถูกที่บ้านต่อต้านแนวคิดนี้พอสมควรเพราะด้วยกลัวว่าลูกชายจะเลือกอดอาหารจนเสียสุขภาพตอนนี้เงินเหลือน้อย เลยประนีประนามด้วยการที่ครอบครัวเราจะซัพพอร์ดเรื่องค่าเช่าบ้านให้ ส่วนค่าเทอม ค่าไฟ ค่าแก๊สและค่ากินอยู่เราจะรับผิดชอบตัวเองทั้งหมด นี่คือขีดจำกัดต่ำสุดที่เราพอจะตกลงยอมให้เขาเข้ามาช่วยเหลือได้
กล่าวตามจริงการที่เราตัดสินใจแบบนั้นมีอยู่หลายเหตุผลด้วยกัน เหตุผลแรกมาจากการที่เราต้องการพิสูจน์ตัวเองว่าเราสามารถยืนได้ด้วยลำแข้งของตัวเอง อีกเหตผลหนึ่งก็มาจากการที่เราอยากให้เขาเก็บเงินเอาไว้ใช้เพื่อตัวเองบ้าง เขาไม่ควรนำเงินที่เขาหาเขาเก็บมาทั้งชีวิตมาละลายทิ้งกับเราหลังจากที่อุตส่าห์ส่งเสียเราเรียนจนจบมหาลัยได้ อีกทั้งนี่ไม่ใช่การเรียนต่อทันทีหลังจากที่เราจบป.ตรี เรายังพอจะมีเงินเก็บที่เราอดออมมาจากเงินเดือนตลอดระยะเวลาการทำงานร่วม 4 ปีหลังจบป.ตรีของเรา เพราะฉะนั้นเราควรจะพึ่งพาตัวเองได้แล้ว เหตผลสุดท้ายคือเงินก้อนนี้ที่เราเอามาเรียน มันเป็นเงินที่เราเคยเตรียมไว้เพื่อขอแฟนแต่งงานกับเอาไว้ใช้ตั้งต้นชีวิตคู่โดยที่เราแอบเก็บสะสมไว้เงียบ ๆ โดยไม่เคยบอกอีกฝ่ายมาก่อน แต่ทว่าในตอนนี้เมื่อต่างฝ่ายต่างร้างราแยกย้ายกันไปเติบโตตามทางของตัวเองแล้ว เงินก้อนนี้ก็ไม่ได้จำเป็นอีกต่อไปเราจึงเลือกนำมันมาเพื่อเพิ่มคุณค่าและหาประสบการณ์ให้กับตัวเองแทน
แต่แน่นอนว่าการมาใช้ชีวิตในต่างประเทศนั้นมีค่าใช้จ่ายมหาศาล ไหนจะค่าเทอมที่เราต้องจ่าย นอกเหนือจากรายจ่ายทั่วไปประจำเดือน ทำให้สุดท้ายแล้วระหว่างที่อาศัยอยู่ประเทศนี้เราก็ต้องหางานทำเพื่อมาจุนเจือค่าใช้จ่ายอยู่ดี เราเลือกทำไบท์ (มาจากคำว่า バイト หมายถึง งานพาร์ทไทม์ในภาษาญี่ปุ่น แต่จริง ๆ แล้วมีรากศัพท์มาจากภาษาเยอรมันอีกที) ซึ่งงานที่เลือกทำก็ค่อนช้างหลากหลาย ทั้งเป็นอาจารย์ช่วยสอน ทั้งเป็นพนักงานทำความสะอาดในโรงแรม พนักงานในเรียวกัง (โรงแรมดั้งเดิมของญี่ปุ่น) content creator และงานถูกกฎหมายอื่น ๆ อีกมากมายเพื่อให้ได้ค่าแรงมาจุนเจือรายจ่ายในแต่ละเดือนของเรา (เอาจริงเคยถูกทาบทามให้ไปเป็น game tester ด้วยนะ แต่ตอนนั้นปฏิเสธไปเพราะเราไม่สามารถย้ายบ้านไปโยโกฮาม่าเพื่อเข้าออฟฟิศ HQ ของทางนั้น ณ ตอนนั้นได้ แต่เขาเสนอเงินมาค่อนข้างดีเลยแหละ) เพราะงั้นเวลาว่างของเราส่วนมากจึงหมดไปกับการทำงาน ไม่เหมือนกับชีวิตนักเรียนนอกคนอื่นที่พอว่างปุ๊บก็ออกเที่ยวปั๊บ (ฮา) เอาจริง ๆ เราก็มีไปเที่ยวนะ อย่างโตเกียวนี่ไปบ่อยเหมือนอยู่ปากซอยทั้ง ๆ ที่ต้องนั่งรถข้ามคืนเพื่อเดินทางไป แต่ก็นั่นแหละมันไม่ได้มีอะไรหวือหวามากนัก
จนกระทั่งพอเราใกล้จะเรียนจบ ช่วงนั้นเราเริ่มลาออกจากงานที่ทำทั้งหมดเพื่อทุ่มเวลาให้กับวิทยานิพนธ์ให้เต็มที่ ก็ในเมื่อบอกคนอื่นว่ามาเรียนต่อเราก็ต้องเรียนให้จบแถมคะแนนสุดท้ายก็ควรจะออกมาแบบไม่น่าเกลียดด้วย (แม้ว่ามันจะเป็นแค่ข้ออ้างตั้งแต่แรกก็ตาม) และสุดท้ายเราก็สามารถเรียนจบได้ตามที่เวลากำหนด ถึงแม้ว่างานวิจัยของเราจะไม่ได้รับเลือกให้ถูกประเมินว่าเป็นระดับชั้นยอด แต่อย่างน้อยเราก็ได้รับ Feed back ในเชิงบวกค่อนข้างมาก อาจเป็นเพราะไม่เคยมีงานวิจัยไหนในหัวข้อการทำธุรกรรมแบบไร้เงินสดที่มุ่งเน้นไปที่ปัญหาของทางฝั่งผู้ประกอบการมาก่อนก็เป็นได้ ทำให้งานวิจัยของเราได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก แต่ข้อเสียก็คือมันไม่ได้มีตัวเปรียบเทียบมากพอที่จะประเมิณว่างานวิจัยของเราเป็นงานในระดับ ‘ชั้นยอด’ ได้
แต่ถึงกระนั้นเราก็สามารถเรียนจบมาได้ด้วยเกรดเฉลี่ย 3.97 ผิดกับสมัยป.ตรีที่กว่าจะเคี่ยวเข็ญให้ตัวเองเรียนจบมาได้อย่างยากลำบากด้วยเกรด 2.51 หากมองแบบผิวเผินเราอาจจะโดนเข้าใจผิดว่าใช้เงินซื้อปริญญามาก็เป็นได้ (ฮา) แต่ก็นั่นแหละ ทั้งหมดนั้นคือความจริงที่เกิดขึ้นกับเรา
เอาจริงตามแผนเดิมของเรา เราตั้งใจว่าจะกลับไทยตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมาแล้ว แต่ด้วยเหตปัจจัยหลายอย่างที่เกิดขึ้นในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาทำให้เราตัดสินใจยื่นขอขยายวีซ่าอีกครั้งเมื่อช่วงกลางเดือนเมษา และเราก็เพิ่งได้รับการตอบรับจากทางรัฐบาลญี่ปุ่นเมื่อวันพฤหัสที่ผ่านมานี้ ทำให้เราสามารถอยู่ต่อได้อีกจนถึงเดือนตุลาคมปีนี้
สำหรับเรื่องเล่าเกี่ยวกับการหางานในประเทศเกาะ เดี๋ยวไว้ถ้ามีโอกาสในอนาคตเราค่อยมาเขียนอธิบายแยกเป็นอีกบล็อกก็แล้วกัน เพราะเราเริ่มรู้สึกแล้วว่าบล็อกนี้มันยาวมากจนสมควรแก่การตัดจบได้แล้ว (ฮา)
สำหรับใครที่อ่านมาถึงตอนนี้แล้วมีคำถามอะไรอยากจะถามเราก็สามารถส่งคำถามมาได้ หากคุณมีความสามารถพอที่จะหาช่องทางติดต่อเราเจอ (อิอิ) สำหรับบล็อกนี้เราก็คงขอจบเอาไว้แต่เพียงเท่านี้ก็แล้วกัน เพราะถึงแม้บล็อกนี้จะเป็นพื้นที่ที่เราสามารถเขียนบอกเล่าทุกอย่างที่เราคิดและรู้สึกโดยไม่มีฟิลเตอร์อะไรมากั้น แต่มันก็ไม่ดีที่จะปล่อยให้บล็อกมีเนื้อหาที่ยาวจนเกินไป
เพราะฉะนั้น
แล้วพบกันใหม่ในครั้งหน้า สวัสดีครับ