สวัสดีครับวันนี้ผมอยากมาเล่าเรื่องของการซื้อ ‘สแตมป์’ ที่แพงที่สุดในชีวิตให้ทุกคนอ่านกันครับ เรื่องของเรื่องมีอยู่ว่าวีซ่าที่ผมถืออยู่นั้นกำลังจะหมดอายุ (วีซ่านักเรียนนั่นแหละ) ซึ่งหลังจากที่เราจบการศึกษาแล้วมหาลัยจะยื่นเรื่องตัดวีซ่าเราทันทีถึงแม้ว่าวีซ่าเราจะยังเหลืออยู่ก็ถาม
และแน่นอนครับว่าหลังจากที่วีซ่าหมดอายุแล้วหมายความว่าเราจะไม่สามารถอาศัยอยู่ในประเทศนั้นได้อีกต่อไป จำเป็นต้องเดินทางออกนอกประเทศก่อนหมดกำหนดหมดอายุมิฉะนั้นเราจะกลายเป็นผู้ที่แอบอยู่อาศัยแบบผิดกฏหมาย ซึ่งเสี่ยงต่อการถูกจับและถูกขึ้นทะเบียนบัญชีดำ แต่ด้วยความที่เรายังไม่อยากกลับไทย (ก็แน่ล่ะ กว่าจะออกมาได้) เราจึงต้องหาทางออกอื่นในการอยู่อาศัยในญี่ปุ่นต่อไปเพื่อดำเนินการหางานในประเทศนี้ ซึ่งทางออกที่ว่าก็คือการเปลี่ยนวีซ่าจากวีซ่านักเรียนเป็นวีซ่าหางาน
ตัววีซ่าหางานนี้เป็นสิทธิประโยชน์ของคนที่จบการศึกษาในประเทศญี่ปุ่นที่สามารถยื่นขอวีซ่าตัวนี้ได้ โดยวีซ่าหางานจะมีอายุ 6 เดือน และสามารถขอขยายเพิ่มได้ 1 ครั้งรวมเป็นระยะเวลาทั้งสิ้น 1 ปี ทว่าการขอเปลี่ยนเป็นวีซ่าหางานนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยเพราะเราจะต้องเตรียมเอกสารเยอะมาก ทั้งเอกสารรับรองทางการเงิน เอกสารแสดงหลักฐานว่าเรากำลังหางานอยู่จริงๆ (อันนี้คือต้องใช้เยอะมาก เพราะต้องพิสูจน์ว่าเรากำลังหางานแบบจริงจัง) รวมไปถึงใบจบการศึกษาและแบบฟอร์มอื่น ๆ อีกมากมายก่อนจะนำไปยื่นกับ ‘นิวกัง’ หรือสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองของญี่ปุ่นนั่นเอง โดยหลังจากที่ส่งเอกสารเรียบร้อยเราจะได้รับใบเสร็จมาเป็นเครื่องยืนยันว่าเรากำลังรอเปลี่ยนวีซ่า (ถึงแม้ว่าจะยังไม่ได้จ่ายอะไรซักเยนเดียวก็ตาม) จากนั้นนิวกังจะบอกให้เรารอเขาติดต่อกลับมาประมาณ 2 สัปดาห์
หลังจากที่รอมา 2 สัปดาห์เต็ม เราก็ได้รับใบแจ้งว่าให้ไปรับวีซ่าตัวใหม่ได้ โดยสิ่งที่เราต้องเตรียมไปด้วยเพื่อไปรับวีซ่าใหม่ก็คือ
– พาสปอร์ท
– บัตรไซริว (บัตรต่างด้าว)
– ใบเสร็จ (ที่ได้มาตอนเอาเอกสารไปยื่น)
– สแตมป์ ราคา 4000 เยน
– ใบแจ้งเตือนให้มารับวีซ่า
ของ 4 ใน 5 อย่างนั้นเป็นสิ่งที่เตรียมได้ง่ายมาก เพราะเป็นของที่อยู่กับเราอยู่แล้ว แต่สแตมป์เจ้าปัญหานั้นเราสามารถซื้อได้จากไปรษณีและร้านขายตั๋วรถไฟเท่านั้น ซึ่งหากซื้อจากร้านขายตั๋วก็อาจจะซื้อได้ในราคาที่ถูกกว่านิดหน่อย ใช่ครับ นิดหน่อยจริง ๆ นิดหน่อยแบบถูกกว่าไปซื้อที่ไปรษณี 50 เยน แถมไม่ใช่ว่าทุกร้านจะมีขาย และทุกร้านจะได้ราคานี้ด้วย (ฮา)
สุดท้ายผมเลยเลือกที่จะไปซื้อเจ้าสแตมป์นี้ที่ไปรษณีแทน จากบ้านผมสามารถเดินไปยังไปรษณีได้ 2 สาขาคือสาขาของเขตที่ผมอาศัยอยู่ซึ่งค่อนข้างอยู่ใกล แต่เป็นสาขาใหญ่และที่สำคัญเลยคือพนักงานประจำสาขานั้นน่ารักมาก กับอีกสาขาที่อยู่ข้างหลังมหาลัย เป็นสาขาเล็ก ๆ แคบ ๆ แต่ใกล้บ้านผมมากกว่าซึ่งสามารถเดินไป 15 นาทีถึง ถ้าขับสกูตเตอร์ไปก็ราว ๆ 5 นาที และแน่นอนครับว่าผมต้องเลือกสาขาหลังมหาลัย เพราะขี้เกียจเดินไกล (ฮา)
ซึ่งวันที่ผมไปซื้อสแตมป์นั้นคนไม่ค่อยเยอะมากนัก ทำให้กระบวนการทุกอย่างดำเนินไปอย่างรวดเร็วและใช้เวลาไม่นาน เอาจริงตอนแรกผมคิดว่าคงได้รับมาเป็นใบเสร็จอะไรซักอย่างที่ให้เอาไปยื่นกับนิวกัง ใครจะไปคิดว่ามันจะเป็นสแตมป์จริง ๆ แล้วยังมีขนาดเท่ากับสแตมป์ราคา 3 บาทของบ้านเราด้วย (จริง ๆ อาจจะเล็กกว่านิดหน่อยก็ได้) หลังจากได้สแตมป์เจ้าปัญหามาเสร็จผมก็รีบไปที่นิวกังในวันเดียวกันเลยเพื่อทำธุรกรรมต่าง ๆ ให้เสร็จเพราะกลัวทำสแตมป์หาย
สารภาพเลยว่าหลังจากที่เห็นขนาดของมันแล้วก็คือกลัวทำหายแล้วต้องซื้อใหม่จริง ๆ คือราคาก็แพงจะทำให้ขนาดมันใหญ่ขึ้นอีกซักนิดก็ไม่ได้เนอะ (ฮา) แล้วหลังจากนั้นผมก็มารู้จากน้องชาวญี่ปุ่นที่สนิดกันทีหลังว่าจริง ๆ แล้วมันมีสแตมป์ราคา 3 แสนเยนด้วยนะ เหมือนว่าจะเอาใว้ตอนจ่ายภาษีหรืออะไรนี่แหละ ทำเอาผมไปต่อไม่เป็นเลย คือเราจะต้องการสแตมป์ราคา 3 แสนเยนไปทำอะไร ถ้าจำนวนเงินขนาดนั้นเราโอนเข้าบัญชีธนาคารไม่ปลอดภัยกว่าเหรอ (ฮา) ไหนใครว่าญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ทันสมัย มีเทคโนโลยีที่ล้ำหน้า อิมเมจที่คนอื่นมองมากับสภาพความเป็นจริงมันต่างกันลิบลับจริงๆ (หัวเราะ)
สำหรับบล็อกนี้ก็คงเอาไว้เท่านี้ก่อน ไว้ถ้ามีเรื่องราวอะไรใหม่ๆน่าสนใจจะนำมาเขียนบอกเล่าให้อ่านกันอีกครับ