ตอนนี้ก็ผ่านมาสักพักหนึ่งแล้วหลังจากที่เราตัดสินใจไปทำ LASIK มา
จริง ๆ เราตั้งใจจะเขียนตั้งแต่วันแรก ๆ หลังทำแล้วแต่คิดอีกทีคือรอให้ระยะเวลาผ่านไปสักพักจนพ้นช่วงสัปดาห์แรกไปก่อนค่อยมาเริ่มเขียนดีกว่า
เราคงไม่จำเป็นต้องท้าวความมั้งว่าเลสิกคืออะไร เอาเป็นว่ามาพูดถึงประเภทของเลสิกกันเลยดีกว่า
ประเภทของ LASIK
การทำเลสิกในไทยตอนนี้จะมี 3 แบบด้วยกันคือเลสิกแบบใบมีดหรือที่เรียกว่า SBK LASIK และการทำเลสิกแบบไร้ใบมีดที่เรียกว่า Femto กับ ReLEx SMILE ซึ่งเป็นวิธีที่เราเลือกทำ (ส่วนตัวเราไม่นับ PRK ที่เป็นการขูดกระจกตาโดยตรงอยู่ในกลุ่มการทำเลสิกถึงแม้ว่าจะเป็นการแก้ไขค่าสายตาเหมือนกัน)
การเลสิกแต่ละแบบต่างกันยังไงนั้นเราชื่อว่าในตอนนี้คำอธิบายน่าจะมีทั่วไปบน internet อยู่แล้วเพราะฉะนั้นเราจะขอข้ามในส่วนนี้ไป แต่ถ้าใครขี้เกียจไปค้นเพิ่ม เราขอหยิบคลิปสั้น 3-4 นาทีในแต่ละคลิป มาอธิบายว่าการทำเลสิกแต่ละวิธีเป็นยังไงก็แล้วกัน
การเตรียมตัวและขั้นตอนการตรวจตาเพื่อทำ LASIK
เอาล่ะหลังจากที่เราชั่งใจอยู่นานว่าจะใช้วิธีไหนดีสุดท้ายก็เลือกไม่ได้ เราเลยตัดสินใจที่จะไปตรวจตาก่อนว่าสามารถทำเลสิกได้หรือเปล่า เพราะถ้าทำไม่ได้ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องมานั่งกังวลว่าควรทำวิธีไหนดี เพราะยังไงมันก็ทำไม่ได้ (ฮา)
สำหรับการเตรียมตัวก็ไม่มีอะไรมาก แค่ในช่วง 1 สัปดาห์ก่อนตรวจให้งดการใส่คอนแทคเลนส์ และงดการแต่งหน้าหรือใส่น้ำหอมในวันตรวจและวันที่ทำเลสิกซึ่งเราไม่เคยใส่คอนแทคอยู๋แล้วรวมถึงไม่แต่งหน้ากับใส่น้ำหอมอะไรเลยไม่มีปัญหาในจุดนี้
ในวันที่เราไปตรวจจริงก้จะมีการวัดค่าสายตา
- วัดค่าสายตาละเอียด
- สแกนความหนาของกระจกตาโดยพยาบาลจะให้เรามองเข้าไปในเครื่องซึ่งจะมีเลเซอร์เขียว ๆ วนเป็นวงกลมเพื่อแสกนตาเราและด้วยความที่เราตาตี่มากก็เลยใช้เวลาในจุดนี้ค่อนข้างนานเพราะมันแสกนลำบาก จนคุณพยาบาลต้องเอาเทปมาติดเพื่อถ่างตาเราอีกที
- ตรวจจอประสาทตา อันนี้หมอจะส่องตาเราโดยจะมีเครื่องมีที่เป็นกระจกวางทำมุมเพื่อสะท้อนแสงจากเพดานมาเข้าตาเรา และสำหรับเคสพิเศษอย่างกรณีของเราที่ตาตี่มากหมอก็จะหยอดยาชาที่ตาแล้วเอาเครื่องมือทรงกระบอกซักอย่างมาครอบตาเรา อันนี้คือครอบลูกตาเลยนะ คือเขาจะถ่างเปลือกตาออกแล้วเอาเครื่องมือนี้ใส่เข้าไปอะ
โดนก่อนจะตรวจจอประสาทตาจะต้องมีการหยอดยาขยายม่านตาก่อน ในจังหวะนั้นก็จะมีหยอดยาชาก่อนด้วย พอตรวจอะไรเสร็จเรียบร้อยก็ได้เวลาพบกับหมอเจ้าของเคสที่จะเป็นคนผ่าตาเรา
ซึ่งครั้งนี้เราเจาะจงขอเป็นหมอตุลยา ด้วยกิตติศัพท์ที่ทุกคนกล่าวถึงว่าหมอตุลยาเป็นมือทองในเรื่องการทำเลสิกบวกกับพี่ที่รู้จักในที่ทำงานเราก็เคยผ่ากับหมอคนนี้มาเราเลยตัดสินใจที่จะฝากชีวิตไว้กับหมอท่านนี้
ตอนที่เข้าไปหาคุณหมอท่านก็มองผลตรวจเราแล้วบอกว่าเนี่ย ของเราดีทุกอย่างเลยนะ น่าทำมาก กระจกตาหนา 600 ไมครอนซึ่งถือว่าหนามากไม่มีปัญหาเรื่องการทำเลสิกเลย (โดยเฉลี่ยความหนากระจกตาของชาวเอเชีย จะอยู่ประมาณ 500-550 ไมครอน) แต่ปัญหาของเรามีอยู่อย่างหนึ่ง อย่างเดียวจริง ๆ นั่นคือเราตาตี่ (ฮา)
คือหมอบอกเราตาตี่มาก บวกกับขนตาเราค่อนข้างยาว (เพราะเราไม่เคยตัดเล็มหรือทำอะไรกับมันมาก่อน เรียกได้ว่าไม่เคยสนใจอะไรกับส่วนนี้เลย) หมอเลยขอให้เราไปนอนที่เตียงอีกห้องเพื่อดู position ว่าสามารถผ่าได้หรือเปล่า สารภาพตามตรงว่าตอนที่ได้ยินครั้งแรกก็แอบช็อคอยู่เหมือนกันเพราะคิดว่าตัวเองหาข้อมูลเตรียมตัวมาดีแล้วไม่น่าจะมีปัญหาอะไร อีกทั้งเราเองก็ไม่เคยใส่คอนแทคเลยส์ด้วยเลยคาดว่าความหนาของกระจกตาไม่น่าจะมีประเด็น แต่ใครจะไปคิดว่าปัญหาดันเกิดจากการที่เราตาตี่
หลังจากที่ไปนอนให้ดูเรียบร้อยคุณหมอก็วินิจฉัยว่าเราต้องผ่าด้วยเลเซอร์ล้วนเท่านั้นไม่สามารถผ่าโดยวิธีการใช้ใบมีดหรือ SBK ได้เพราะเครื่องมือการผ่าตัดแบบใบมีด (ที่ต้องเอาไปครอบรอบตาเพื่อผ่า) มีขนาดใหญ่กว่าตาเรา (ฮา)
ฉะนั้นวิธีที่เราสามารถทำได้ก็จะเหลือแค่ Femto กับ ReLEx SMILE เท่านั้น ในจุดนี้เราจึงตัดสินใจเลือกที่จะทำด้วยวิธี ReLEx SMILE ด้วยเหตุผลที่ว่าเป็นวิธีที่ใหม่และทันสมัยกว่า Femto LASIK อีกทั้งแผลยังมีขนาดเล็กกว่าทำให้มีผลกระทบข้างเคียงในระยะยาวน้อยกว่ามาก แต่ทั้งนี้ก็แลกมากับข้อเสียที่ทำให้สภาพสายตาของเราในช่วงแรกจะไม่คงที่ กล่าวคือในช่วงแรกหลังจากผ่าตัดทำเลสิกแล้วค่าสายตาเราจะไม่กลับมาเป็น 0 ทันทีเหมือนการทำเลสิกแบบ SBK และ Femto แต่ตาเราจะค่อย ๆ ปรับตัวจนกลายเป็น 0 เองซึ่งในระหว่างนั้นก็ต้องคอยดูแลรักษาและหมั่นหยอดน้ำตาเทียมบ่อย ๆ เพื่อรักษาความชุ่มชื้นของดวงตา
อย่างกรณีของเราคือหลังจากผ่าตัดก็รู้สึกว่าภาพกลับมาชัดมากขึ้น ชัดแบบไม่กระทบกับการใช้ชีวิตประจำวันอะไร แต่ถ้าอ่านเอกสารหรือนั่งหน้าคอมนาน ๆ ก็อาจมีอาการตาแห้งทำให้เห็นตัวหนังสือเบลอ ๆ ไม่ค่อยชัด แต่พอหยอดน้ำตาเทียมให้ดวงตาชุ่มชื้น ภาพก็จะกลับมาชัดเจนขึ้น
พอครบ 1 สัปดาห์หลังจากทำเลสิกเรามาตรวจค่าสายตาละเอียดที่ รพ. อีกครั้งพบว่าตอนนี้ค่าสายตาเรากลับมาอยู่ที่ สั้น 50 ที่ข้างขวา ส่วนข้างซ้ายเหลือ 0 แล้ว คุณหมอตุลเองก็บอกว่าเดี๋ยวมันจะลดลงจนเหลือ 0 ในอีกไม่นาน คุณหมอเล่าว่าคนที่ทำ ReLEx SMILE เสร็จแรก ๆ ค่าสายตาจะยังแกว่งอยู่ แต่พอดวงตาปรับตัวได้ก็จะเริ่มนิ่งและกลับมาเป็น 0 เอง ซึ่งกระบวนการนี้จะใช้เวลามากเท่าไหร่ขึ้นอยู่กับแต่ละคน แต่นานสุดไม่เกิน 1 เดือน ซึ่งในจุดนี้เราเองก็สัมผัสได้ว่าภาพที่เรามองเห็นเริ่มคมชัดขึ้นเรื่อย ๆ เทียบกับวันแรกหลังจากผ่าตัด ในตอนที่เรากำลังพิมพ์อยู่นี้เองก็เช่นกัน ภาพที่เรามองเห็นมีความคมชัดมากกว่าตอนที่ไปหาคุณหมอมากคาดว่าน่าจะกลับมาเหลือ 0 ทั้งสองข้างแล้ว แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็คงต้องรอเข้าไปตรวจละเอียดกับคุณหมออีกทีตอนต้นเดือนมิถุนายน
ข้อห้ามหลังทำ LASIK
หลังจากทำเลสิกแล้วเราต้องดูแลรักษาด้วงตาของเราดี ๆ เพราะเสียเงินไปตั้งแพงก็ไม่ควรปล่อยให้มันสูญเปล่า หรือทำให้ต้องเสียเงินรักษาเพิ่มเติม
- อย่างแรกเลยในสัปดาห์แรกอย่าให้ตาเราโดนน้ำ ไม่ว่านำ้อะไรก็แล้วแต่ถ้าไม่ใช่ยาหยอดตาที่หมอให้มาอยอดหรือน้ำตาเทียมแล้วห้ามโดนเด็ดขาดเพื่อป้องกันแผลติดเชื้อหลังจากผ่าตัด เพราะฉะนั้นก็ต้องงดการใช้เครื่องสำอางหรือพวกน้ำมันหอมระเหยบนใบหน้า เวลาอาบน้ำก็อาบถึงแค่คอพอ แล้วก็งดการออกกำลังกายในช่วงนี้เพื่อหลีกเลี่ยงการที่เหงื่อจะไหลเข้าตา
- ในช่วงสัปดาห์แรกให้ใส่ที่ครอบตาทุกครั้งเวลานอน อันนี้เพื่อห้องกันไม่ให้เราเผลอขยี้หรือข่วนตาตัวเองตอนหลับ มันอาจจะไม่ชินและทำให้หลับยากขึ้นแต่ก็ทน ๆ ไปหน่อยแค่อาทิตย์เดียวเอง
- ในช่วงสัปดาห์แรกควรหมั่นใช้น้ำเกลือเช็ดทำความสะอาดรอบดวงตาทุกครั้งตอนตื่นและก่อนนอน จริง ๆ ในชุดยาที่รพ.ให้มาหลังจากผ่าจะมีสำลีและน้ำเกลือแถมมาให้อยู่แล้วเพราะฉะนั้นใช้ ๆ ไปเถอะ
- ในช่วง 1 – 3 เดือนแรกควรใส่แว่นกันแดดทุกครั้งเวลาออกไปข้างนอก อันนี้ก็เพื่อป้องกันดวงตาเราจากแสง UV และแสงแดดที่จ้าเกิดไป สำหรับในช่วงที่ COVID กำลังระบาดอยู่มันอาจจะดูตลกไปบ้างเพราะเราก็ต้องใส่หน้ากากอนามัยอยู่แล้ว ยังต้องมาใส่แว่นกันแดดอีก เหมือนดารากำลังปลอมตัว หรือผู้กระทำความผิดที่กำลังเตรียมก่อเหตุหรือกำลังหลบหนีอยู่เลย (ฮา)
- ในช่วง 1 เดือนแรกงดการว่ายน้ำดำน้ำ อันนี้เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม แต่หมอเขาบอกมาแบบนี้อะ (ฮา) อ้อ แล้วก็ถ้าเราแช่น้ำในอ่างคือแช่ได้นะ แต่ห้ามมุดดำลงไป อันนี้หมอเตือนมาเหมือนกัน
- หมั่นหยอดน้ำตาเทียมสม่ำเสมอเมื่อรู้สึกตาแห้ง แต่ในช่วงสัปดาห์แรกหมอแนะนำว่าหยอดมันไปเลยทุกชั่วโมงหรือถ้ารู้สึกตาแห้งเมื่อไหร่ก็หยอด อันนี้เรารู้สึกว่าเห็นผลมากเพราะมันทำให้ตาเราชุ่มชื้นแล้วมองภาพชัดเจนอยู่ตลอด
- หยอดยาแก้อักเสบตามเวลาที่หมอสั่ง ของเราหมอให้หยอด เช้า กลางวัน เย็น ก่อนนอน หยอดติดต่อกัน 10 วันก็หยุดได้
เท่าที่นึกออกก็ประมาณนี้ อันนี้เป็นวิธีที่เราใช้ดูแลตัวเองหลังจากทำเลสิกมา สำหรับบางคนอาจมีเงื่อนไขพิเศษหรือข้อยกเว้นเพิ่มเติมตามที่หมอสั่งอันนั้นก็แล้วแต่กรณี ๆ ไป
สรุปทิ้งท้าย
จบแล้วบันทึกการทำเลสิกของเรา จริง ๆ ก็อยากเขียนถึงช่วงระหว่างที่ทำการผ่าตัดด้วยนะเพราะการผ่าเลสิกเขาไม่ได้วางยาสลบ แต่ใช้ยาชาแทนซึ่งถ้าถามว่าเจ็บหรือเปล่าก็คือไม่เจ็บเลยสักนิด แต่ก็นั่นแหละ กลัวคนที่หลงมาอ่านจะเกิดอาการกลัวแล้วไม่กล้าไปทำกันซึ่งเราไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้นเลยจริง ๆ จากประสพการณ์ส่วนตัวเรารู้สึกว่าการทำเลสิกเหมือนกับการที่เราได้โลกใบใหม่ที่ไม่ถูกคั่นด้วยแว่นสายตาเราเลยอยากแนะนำให้คนที่มีปัญหาด้านสายตาและไม่มีภาระด้านการเงินไปทำกันดู มันดีจริง ๆ
สุดท้ายนี้ถ้าใครอ่านมาถึงจุดนนี้ก็ขอขอบคุณมากครับ เป็น Blog ที่ยาวที่สุดในช่วงนี้เลยมั้ง ใช้เวลาเขียนและเรียบเรียงหลายวันอยู่เหมือนกัน (ฮา)
ถ้ายังไงขอฝาก Blog เล็กๆ นี้ไว้ด้วยครับ
ไว้บนกันใหม่ content หน้า