ไดอารี่

บันทึกความทรงจำ 1/2563

สวัสดี วันนี้เป็นอีกวันนึงที่เรา Depress อีกแล้ว เลยอยากจะจดบันทึกเอาไว้ ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะจดบันทึกเอาไว้ทุกครั้งที่เรารู้สึก Depress

แล้วค่อยมาย้อนดูตอนปลายปีว่าปีนี้เราดิ่งบ่อยแค่ไหนแล้วมันเกิดมาจากอะไรบ้าง

เรื่องของเรื่องคืองานเรามีปัญหาอีกแล้วแหละ และก็เป็นปัญหาที่ทำยังไงก็แก้ไม่ได้

เอาจริง ๆ มันก็ไม่ใช่ว่าแก้ไม่ได้หรอกเพราะในโลกนี้ไม่มีปัญหาใดที่ไม่มีทางออก ทว่าทางออกนั้นเราออกไปไม่ได้ เรียกว่าเราไม่มีสิทธิ์ที่จะออกไปดีกว่า

บางครั้งเรารู้อยู่เต็มอกว่าต้นตอของปัญหาคืออะไรแต่ก็ไม่สามารถพูดออกไปได้ นั่นแหละชีวิต นั่นแหละสังคมมนุษย์

เราเริ่มชินกับการใช้ชีวิตแบบนี้แล้วล่ะ บางครั้งเราก็เลือกที่จะขอโทษแล้วโกหกว่าเป็นเพราะความสะเพร่าของเรา แทนที่จะพยายามแก้ปัญหา

ถ้าถามว่าทำไมเราถึงเลือกทำแบบนั้นก็เพราะว่าถ้าเราพยายามดึงดันจะแก้ปัญหา มันอาจจะนำมาสู่ผลลัพท์ที่แล้วร้ายยิ่งกว่าทั้งต่อตัวเราหรือคนรอบตัว

สุดท้ายเราก็เลยเลือกที่จะตัดปัญหาด้วยการบอกว่าเป็นความผิดของเรา

งานในครั้งนี้ก็เหมือนกัน เรารู้ต้นตอของปัญหาแล้วล่ะ แต่ก็พูดออกไปไม่ได้

เพราะคนที่มีผลกระทบล้วนเป็นผู้ใหญ่ เป็นคนใหญ่คนโตกันหมด รวมถึงองค์กรยักษ์ใหญ่ที่เต็มไปด้วยความน่าเชื่อถือ ถึงเราจะพูดอะไรออกไปก็คงทำอะไรไม่ได้อยู่ดี ยังไงทางนั้นก็คงไม่ยอมถอยเพื่อแก้ปัญหาของเราแน่ ๆ

ถึงแม้ว่าทางนั้นจะเป็นฝ่ายก่อปัญหาตามอำเภอใจก็ตาม

แต่ก็นั่นแหละ เราที่เป็นตัวเล็ก ๆ เมื่อเทียบกับองค์กรเขาก็คงไม่มีปากมีเสียงอะไรมาก

ยิ่งคนระดับสูงขององค์กรเราคอยเอาอกเอาใจ เดินตามก้นอีกฝ่ายราวกับสุนัขผู้ภักดีด้วยแล้วยิ่งไม่จำเป็นต้องพูดถึง

อีกอย่างต่อให้เราพูดออกไปก็คงไม่แคล้ว โดนหาว่าไปโทษคนอื่น ไม่รู้จักปรับปรุงตัวเอง

ท้ายที่สุดแล้วเราก็ทำได้เพียงแค่เอ่ยขอโทษแล้วบอกว่าคราวหน้าจะระวังให้มากขึ้น จะตรวจสอบให้ดีมากขึ้น

ถึงแม้ว่าต่อให้ตรวจสอบดีแค่ไหนถ้าเจอเหตุการณ์แบบนี้อีกก็คงลงเอยแบบเดิมอยู่ดี

ถึงแม้เราจะรู้อยู่แก่ใจแต่ก็ไม่กล้าที่จะโต้แย้งอะไร นั่นแหละคือชีวิตที่เรากำลังเผชิญอยู่

แล้วพอถึงจุด ๆ หนึ่งมันก็จะเหนื่อย ท้อ

จนเรามานั่งตั้งคำถามกับตัวเองว่าเราไร้ค่าขนาดนั้นเลยเหรอ

หรือว่าการคงอยู่ของเรามันทำให้คนอื่นชิบหายขนาดนั้นเลยเหรอ

หรือเราควรจะหนีไปให้ไกล ไปในจากที่แห่งนี้จะได้ไม่ต้องถูกผูกมัดอยู่กับความรู้สึกผิดที่เราไม่ได้เป้นคนก่อขึ้น