สวัสดีครับ ก่อนอื่นเลยต้องขอโทษด้วยที่ห่างหายไปไม่ได้มาอัพเดท Blog เป็นเวลานาน Blog นี้เราจะมาคุยกันเกี่ยวกับเรื่องของ COVID-19 กัน ทั้งเรื่องของอาการที่อาจเกิดขึ้นรวมถึงสิ่งที่คาดว่าน่าจะเป็นผลข้างเคียงของยาฟาวิพิราเวียร์เผื่อจะเป็นประโยชน์สำหรับคนที่กำลังกักตัวอยู่ที่บ้าน หรือกำลังรักษาตัวเองอยู่ใน Hospitel, ศูนย์พักคอย, โรงพยาบาล หรือ โรงพยาบาลสนาม ต่าง ๆ
หมายเหตุ อันนี้เราจะขอข้ามเรื่องการลงทะเบียนผู้ป่วยหรือการโทรขอเตียงออกไปนะ เพราะเราเชื่อว่าไกด์ไลน์ในเรื่องนั้นมีคนทำเอาไว้มากมายแล้วบน Internet อันนี้จะขอเป็นแนวบันทึกเหตุการณ์และอาการของโรคฉบับย่อ ๆ ก็แล้วกัน
ขอออกตัวก่อนว่าเนื้อหาหรือถ้อยคำที่กำลังจะปรากฏถัดไปนี้ ไม่ได้มีเจตนาเพื่อการต่อว่าหรือตำหนิบุคลากรทางการแพทย์ อาสา พยาบาล บุคคลหรือองค์กรใดองค์กรหนึ่งแต่อย่างใด ทั้งหมดเป็นเพียงบันทึกเรื่องราวที่เราได้ประสบพบเจอมาตลอด 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา เพราะฉะนั้นผมขอให้ผู้ที่เข้ามาอ่านพึงระลึกอยู่เสมอว่านี่คือการฟังความข้างเดียว
จุดเริ่มต้นของเรื่องราว
ก่อนอื่นเลยต้องขอท้าวความก่อนว่าเมื่อสัปดาห์ที่แล้วคุณแม่เราเริ่มรู้สึกมีไข้ไม่สบาย รู้สึกแขนกับขาเริ่มไม่มีแรง (แต่ยังสามารถขยับลุกเดินไปไหนมาไหนได้) ประกอบการที่เพิ่งไปฉีดวัคซีนป้องกัน COVID-19 มาเมื่อสามวันก่อนหน้า ในตอนแรกเราจึงสงสัยว่าอาจเป็นผลข้างเคียงจากวัคซีน (คุณแม่เราไปฉีดหลังจากที่มีการประกาศใช้สูตรวัคซีนค็อกเทลของรัฐบาลไม่นาน) เลยให้กินยาและนอนพักผ่อนเยอะ ๆ เพื่อเป็นการประคองอาการแทน ซึ่งแม่เราเป็นคนสุดท้ายในบ้านที่ได้ฉีดวัคซีน เพราะช่วงที่คนอื่น ๆ ฉีดกันมันดันใกล้กับวันผ่าตัดต้อกระจก จึงจำเป็นต้องเลื่อนคิวฉีดออกไปก่อนเพื่อป้องกันผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น
แต่ทว่าพอผ่านไป 3-5 วันอาการก็ยังไม่ดีขึ้นเท่าไหร่นักเลยตัดสินใจซื้อชุดตรวจโควิดแบบ Rapid Antigen Test KIT ที่รัฐบาลเพิ่งจะอนุญาติให้ใช้มาตรวจเองที่บ้าน (ครบ 1 สัปดาห์พอดีหลังจากเดินทางไปฉีดวัคซีซิโนแวคที่โรงพยาบาล) ผลปรากฏคือได้ T-Positive คือพบเชื้อโควิด คุณแม่จึงเริ่มกักตัวเองและก็ไล่ตรวจคนอื่นในบ้านต่อ ปรากฏว่ามีของพ่อเราที่มีเส้นขึ้นเลือนลางตรงจุด T (ทั้งที่ไม่ได้มีอาการอะไรเกี่ยวกับโรคโควิด) แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็อย่างที่ทราบกันว่า Rapid Antigen Test KIT นั้นมีผล False Positive และ False Negative อยู่ ดังนั้น ในวันถัดมาเพื่อความแน่ใจที่บ้านเลยตัดสินใจพาไปตรวจ RT-PCR ที่โรงพยาบาลอีกครั้ง
Home Isolation Day 1
วันรุ่งขึ้นหลังจากที่เข้าไปตรวจ RT-PCR ที่โรงพยาบาลก็ได้มีเจ้าหน้าที่จากโรงพยาบาลโทรกลับมาแจ้งว่าตรวจพบเชื้อและจัดคุณแม่เราอยู่ในกลุ่มสีเหลือง โดยให้เข้าไปรับยาได้ในช่วงบ่าย และได้รับคำแนะนำว่าให้ทำ Home Isolation ไปก่อนเพราะเตียงของโรงพยาบาลตอนนี้เต็มหมดแล้ว ประกอบกับผู้ป่วยกลุ่มสีเหลืองไม่เข้าข่ายที่สามารถส่งตัวไปยัง Hospitel ได้ (เราลองติดต่อไปหลายที่แล้วแต่ไม่มีที่ไหนสามารถรับได้เลย เนื่องด้วยข้อกำหนดจากส่วนกลาง)
ตกบ่ายพ่อเราเลยเข้าไปที่โรงพยาบาลเพื่อรับยาแทนคุณแม่ที่กำลังทำ Home Isolation อยู่พร้อมทั้งขอตรวจโควิดไปด้วยเลย เพราะเป็นกลุ่มเสี่ยงสูง ส่วนเราเองยังไม่ได้ไปตรวจเพราะปกติเราแยกห้องนอนกับพ่อแม่อยู่แล้ว รวมถึงผล Rapid Test ของเราเป็น T-Negative และไม่ได้มีอาการอะไรที่บ่งชี้ว่าเป็นโควิด
สำหรับในส่วนของยา อันนี้เราต้องขอชื่นชมการจัดการของโรงพยาบาลจริง ๆ นะ คือเขาแบ่งยาใส่ถุงออกเป็นหมวด ๆ ชัดเจนมาก มียาพารากับยาแก้ไอที่ให้กินเมื่อมีอาการเท่านั้นกับยาฟาวิพิราเวียร์ที่แยกใส่ถุงมาต่างหากพร้อมทั้งมีคำอธิบายวิธีการกินแนบมาด้วย โดยยาฟาวิพิราเวียร์ทางโรงพยาบาลเองก็แบ่งออกเป็นถุง ๆ ให้กินวันละ 1 ถึง พร้อมทั้งมีตัวเลขกำกับเพื่อบอกลำดับวันในแต่ละถุงเพื่อป้องกันการสับสนสำหรับเรา เราค่อนข้างประทับในการจัดการของโรงพยาบาลมาก
แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นคืนนั้นหลังจากที่กินฟาวิพิราเวียร์ชุดแรกไปแล้วสักพัก ค่า sat ของแม่เราก็ตกลงต่ำกว่า 95 แถมยังแกว่งขึ้นลงอยู่ตลอดเวลานอกจากนี้ก็มีอาการเวียนศรีษะและมีไข้อ่อน ๆ ตามมาด้วย (เรามีอุปกรณ์วัดความดันรวมถึงปลอกสวมนิ้วที่ไว้ใช้วัดค่า Oxygen อยู่ที่บ้านอยู่แล้ว)
Home Isolation Day 2 – 4
วันถัดมาคุณพ่อเลยตัดสินใจไปยืมเอาเครื่องผลิต Oxygen จากบ้านญาติมาใช้เพราะจากที่สังเกตคือจะมีอาการทุกครั้งหลังจากที่กินยาฟาวิพิราเวียร์ไปได้สักพักเราจึงคาดเดาไปว่าอาจจะเป็นผลของยาก็เป็นได้ นอกจากนี้เรายังให้เปิดเครื่องฟอกอากาศภายในห้องอยู่ตลอดเวลา ตอนเช้าวันนี้เองที่มีเจ้าหน้าที่โทรมาหาคุณแม่เพื่อสอบถามและประเมิณอาการครั้งแรกซึ่งหลังจากนั้นก็มีโทรมาเช็คอาการอยู่ทุกวัน
พอเข้าสู่วันที่ 3 ของการทำ Home Isolation ซึ่งยาฟาวิพิราเวียร์ในถุงที่ทางโรงพยาบาลจ่ายมาในส่วนของวันนี้ได้ลดจำนวนลงจาก 9 เม็ดเป็น 4 เม็ด เราจึงค่อนข้างเบาใจว่าอาการค่า sat ตกนั้นอาจจะทุเลาลงเพราะได้มีการลดปริมาณยาลงแล้ว แต่ทว่าผลลัพที่เกิดขึ้นก็ไม่ได้ต่างไปจากเดิมมากเท่าไรนัก นั่นยิ่งทำให้เราเริ่มกังวลใจมากขึ้นจนเมื่อวันที่ 4 ที่เข้าหน้าที่ได้ตินต่อมาถามอาการตามปกติเห็นว่ายังไม่ดีขึ้นจึงเร่งประสานงานหาโรงพยาบาลสนามให้ และหวยก็ดันไปออกที่โรงพยาบาลสนามที่กำลังมีข่าวไม่ค่อยดีเรื่องความสะอาดและการจัดการดูแลผู้ป่วยอยู่
สารภาพว่าตอนที่เรารู้เรื่องว่าต้องไปโรงพยาบาลสนามเราค่อนข้างตกใจ แต่กระนั้นก็ยังแอบดีใจอยู่เพราะอย่างน้อยก็ยังอยู่ใกล้มือคุณหมอ หากมีอะไรจะได้มีคุณหมอดูแลแบบทันที จะอย่างไรเสียต่อให้เราศึกษามาเยอะแค่ไหน ก็มีความรู้ความชำนาญไม่เท่าแพทย์ที่คอยดูแลคนไข้อยู่แล้ว แต่พอเรารู้จุดหมายปลายทางที่ต้องไป บอกตามตรงว่ากังวลใจมาก เราพยายามหาโรงพยาบาลสนามอื่น ๆ เป็นตัวเลือกสำรองไว้ เพื่อความสบายใจของเราเอง และเราก็ไปเจอว่ามีโรงพยาบาลทางแถบชานเมืองที่เพิ่งเปิดรับเป็นโรงพยาบาลสนามจากทางกทม.เพื่อรองรับผู้ป่วยสีเหลืองและสีแดงโดยเฉพาะ เราจึงเริ่มติดต่อไปที่โรงพยาบาลดังกล่าว (จากนี้จะขอเรียกว่าโรงพยาบาล A) ผลคือโรงพยาบาลแจ้งว่ายังพอจะมีเตียงอยู่บ้างแต่เขาไม่สามารถรับผู็ป่วยเองได้ จำเป็นต้องถูกส่งมาจากหน่วยงานที่ทำหน้าที่เป็นหน่วยคัดกรอง ซึ่งต่อจากนี้เราจะขอเรียกว่า ศูนย์ช้าง (นามสมมติ) ก็แล้วกัน สาเหตุที่เราเรียกว่าศูนย์ช้างก็เพราะว่าเจ้าหน้าที่และอาสาที่นี่ค่อนข้างมีอำนาจมากในการประเมิณและตัดสินสีของคนไข้เองโดยข้ามอาการของผู้ป่วยและคำตัดสินเดิมจากทางโรงพยาบาลที่ตรวจโควิด
มีเตียงว่างแต่ไม่ได้ไป จากสีเหลืองกลายเป็นสีเขียว แบบนี้ก็ได้เหรอ ?
พอรู้ว่าต้องทำยังไงแล้วเราก็เร่งให้คุณพ่อติดต่อไปที่ศูนย์ช้าง ที่กำลังจะมารับตัวแม่เราไปโรงพยาบาลสนามว่าขอเปลี่ยนไปยังโรงพยาบาล A แทนได้หรือไม่ เพราะที่นั่นรองรับผู้ป่วยสีเหลืองและสีแดงซึ่งจะตอบโจทย์มากกว่า รวมถึงระยะทางระหว่างบ้านเราไปโรงพยาบาล A ใกล้กว่าการไปโรงพยาบาลสนามมาก ซึ่งทางนั้นก็รับไปประสานงานให้
แต่แล้วสักพักทางศูนย์ช้างก็ได้โทรกลับมาหาพ่อเราแล้วปฏิเสธที่จะส่งตัวไปยังโรงพยาบาล A โดยเจ้าหน้าที่ให้เหตุผลว่าได้ประเมิณแล้วว่าแม่เราอยู่ในกลุ่มสีเขียว ซึ่งแน่นอนว่าทางเราต้องแย้งอยู่แล้วเพราะโรงพยาบาลที่ตรวจโควิดเองก็ยังวินิจฉัยว่าเป็นสีเหลือง อีกทั้งค่า Sat เองก็เหวี่ยงอยู่เสมอหลังจากกินยาฟาวิพิราเวียร์จนต้องต่อเครื่องผลิตอ็อกซิเจน ทว่าอีกฝ่ายยังคงยืนกรานคำตัดสินเดิมว่าจะส่งไปยังโรงพยาบาลสนามดังกล่าว พร้อมทั้งปิดท้ายประโยคว่า “จะไปหรือไม่ไป ถ้าไปจะได้เอารถออก?” กล่าวคือถ้าเราเลือกที่จะปฏิเสธ แม่เราอาจจะถูกตัดชื่อออกแล้วไม่ได้รับการส่งตัวไปรักษาต่อจะเรียกว่าเป็นการบังคับให้ยอมจำนนก็ว่าได้ บอกตามตรงว่าเรากังขาในวิจารณญาณของเจ้าหน้าที่ที่โทรมามาก อาการค่า Sat เหวี่ยงไปมาจนต้องใช้เครื่องผลิตอ็อกซิเจนนี่คือจัดว่าเป็นผู้ป่วยกลุ่มสีเขียวหรือ ? หรือเพียงแค่พูดส่ง ๆ เพราะอยากปฏิบัติหน้าที่ให้จบ ๆ ไป หรือเตียงที่ว่างอยู่ของโรงพยาบาล A ถูกจองไว้แล้วโดยผู้มีอำนาจหรือกลุ่ม VVIP ก็ไม่อาจทราบได้เพราะเราไม่ได้รับคำชี้แจงอะไรนอกจากต้องการให้แม่เราไปอยู๋โรงพยาบาลสนามเพราะเป็นกลุ่มผู้ป่วย (ที่เขาคิดเอาเองว่าเป็น) สีเขียว และโรงพยาบาล A รองรับเฉพาะกลุ่มผู้ป่วยสีเหลือง
สุดท้ายเราก็เลยต้องกัดฟันยอมส่งแม่เราไปโรงพยาบาลสนามตามที่เจ้าหน้าที่ศูนย์ช้างต้องการเพราะไม่มีทางเลือกอื่น ก็ได้แต่ปลอบตัวเองว่าอย่างน้อยก็ยังอยู่ใกล้มือหมอมากกว่าทำ Home Isolation ที่บ้าน เอาจริง ๆ เราก็แอบน้อยใจอยู่นะ คือจะว่าเข้าใจไหมก็เข้าใจแหละว่ามันมี process การทำงานของมันในการเลือกสถานที่ให้ผู้ป่วย แต่ไม่มีคำอธิบายอื่นที่ดีกว่านี้แล้วเหรอ ในฐานะคนที่เคยทำงานรับใช้ประชาชนมาก่อนเราเชื่อว่ามันควรมีคำอธิบายที่ดีกว่านี้ในการชี้แจงและรับมือกับผู้คน แต่ก็นั่นแหละดูเหมือนว่านี่คือคำอธิบายที่ดีที่สุดที่ทางนั้นจะให้ได้
ปล. คุณแม่เรายังได้กลิ่น กินอาหารอร่อยอยู่ จะมีอาการเพียงแค่เวียนศรีษะและมีไข้ ไม่ค่อยมีแรงและเหนื่อยง่ายกว่าแต่ก่อน รวมถึงค่า Sat จะตกลงหลังจากที่กินยาฟาวิพิราเวียร์ นอกจากนี้ก็มีเจ็บคอบ้าง
อัพเดท เมื่อครู่คุณแม่ทักมาบอกว่าที่โรงพยาบาลสนามมีให้ตรวจเอ็กซ์เรย์ปอดแล้ว ปอิดยังปกติดีไม่มีอาการเชื้อลงปอด ซึ่งเราก็สบายใจไปได้เปราะหนึ่ง แต่ก็ยังแอบกังวลเรื่องค่า Sat ที่ยังคงเหวี่ยงไปมาอยู่
สรุปเกี่ยวกับการทำ Home Isolation
บางคนอาจจะสงสัยว่าเราดูแลคุณแม่ยังไงช่วงที่อยู่ Home Isolation จริง ๆ ในจุดนี้มันก็ไม่ได้มีอะไรยาก ขั้นแรกคือเราต้องพยายามคอยตรวจสอบอาการเขาอยู่เสมอ พยายามฟลัดเปลี่ยนหมุนเวียนเข้าไปชวนคุยอยู่บ่อย ๆ เพื่อไม่ให้เจ้าตัว PANIC หรือวิตกกังวล ส่วนอาหารแนะนำว่าควรเป็นอะไรที่กินง่ายและไม่ระคายเคืองหรือก่อให้เกิดการเจ็บคอ
ในส่วนของอาการเราทำตามคำแนะนำของคุณหมอเคทที่ให้คอยดู 3 อาการหลัก ๆ คือ
- คอยระวังอย่าให้มีไข้เกิน 38 องศา ถ้ารู้ตัวว่ามีไข้ให้กินยาแล้วนอนพัก หรือใช้การเช็ดตัวแทนอาบน้ำ โดยให้เช็ดจากปลายขอบของร่างกายเข้าหาหัวใจ
- คอยสังเกตค่า Sat อย่างสม่ำเสมออย่าให้ต่ำกว่า 90 แต่สำหรับเรา เราตั้ง cut off ไว้ที่ 95 เพราะคนปกติธรรมดาจะมีค่า sat อยู่ที่ 95 – 100 ในภาวะปกติ
- หากมีอาการท้องเสียถ่ายบ่อยให้ทานเกลือแร่ หรือน้ำหวานต่าง ๆ เพื่อให้ร่างกายยังมีแร่ธาตุอยู่เสมอ
นอกจากนั้นก็จะเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าของเราอะไรที่เขาว่าดีและไม่มีผลกระทบหรือสารพิษตกค้างเราก็ทำหมด เช่น เปิดเครื่องฟอกอากาศในห้องตลอด 24 ชั่วโมง ให้ดื่มน้ำใบเตยต้ม เพราะแม่เราตอนดมน้ำใบเตยแล้วรู้สึกว่าจมูกโล่งขึ้นประกอบกับมันมีกลิ่นหอม เลยทำให้ดื่มอยู่ 2 – 3 ครั้ง
ถ้าใครมีอาการอะไรนอกเหนือจากที่เราเขียนไว้แล้วอยากได้คำปรึกษาเราแนะนำว่าลองทักไปหาคุณหมอเคทดูก็ได้ ถึงคุณหมอจะไม่ค่อยว่างตอบเท่าไหร่เพราะต้องดูคนไข้ด่านหน้า กับมีคนส่งข้อความหาแกเยอะมากในแต่ละวัน แต่คุณหมอก็ตอบคำถามที่เราปรึกษาเกี่ยวกับอาการของคุณแม่วันละครั้งอยู่ตลอด อย่างน้อยการได้รับคำแนะนำจากคุณหมอมันก็ยังดีกว่าที่เราคิดเป็นตุเป็นตะไปเองหรือไปเชื่อตามสูตรของใครที่ไหนก็ไม่รู้
เอาล่ะสำหรับ Blog นี้เราคงจบไว้แต่เพียงเท่านี้ก่อน แล้วเดี๋ยวจะหาเวลามาเขียนสรุปอัพเดทอยู่เรื่อย ๆ เพราะตอนนี้เราเพิ่งจะไปตรวจโควิดมาวันนี้ คาดว่าผลน่าจะออกพรุ่งนี้ช่วงเช้าหรือสาย ๆ ส่วนที่จั่วหัวไว้ว่า Part ① เพราะเราเชื่อว่าเดี๋ยวมันต้องมี Part ② แน่ ๆ แต่ถ้าไม่มีเลยจะดีมาก
เราพยายามทำเต็มที่แล้วในฐานะที่คนนึงที่กำลังจะออกจากประเทศนี้ในอีกไม่กี่เดือนพอจะทำได้