บทความ

“เราอยู่กันแบบครอบครัว” กับดักร้ายที่ควรหนีไป

ยังจำกันได้หรือเปล่าครับเวลาสัมภาษณ์งาน หรือตอนช่วงเริ่มงานใหม่ๆ เรามักจะได้ยินประโยคคลาสสิกนึงอยู่เสมอ “เราอยู่กันแบบครอบครัว”

ซึ่งเมื่อได้ฟังแบบนี้ เชื่อว่าร้อยทั้งร้อยจะคิดว่าวัตถุประสงค์ของผู้พูดคือต้องการจะสื่อว่าวัฒนธรรมองค์กรของที่นี่อบอุ่น อยู่กันแบบพี่น้องมีอะไรเปิดออกคุยกันได้

แต่หารู้ไม่ว่าสิ่งที่แฝงมากับคำพูดเหล่านั้นมันมีอะไรมากกว่าที่คิด

วันเสาร์อาทิตย์จะไม่ใช่วันหยุดอีกต่อไป

ในเมื่อเราอยู่กันแบบครอบครัว ฉะนั้นความเกรงใจและเส้นแบ่งระหว่างหน้าที่การงานกับชีวิตส่วนตัวที่ควรจะมีนั้นได้ถูกทำลายลงไปด้วยคำพูดนี้

วันดีคืนดีเราอาจจะถูกปลุกด้วยเสียงเรียกเข้ามือถือในเช้าวันเสาร์ที่แสนสดใส ซึ่งในยามปกติแล้วเรามักจะขลุกตัวนอนอย่างสบายใจบนที่นอนอันโปรดจนถึงบ่าย แต่กลับถูกขัดจังหวะแห่งความสุข โดยหมายเลขที่โทรเข้ามาคือหัวหน้าฝ่าย

หรือเราอาจจะถูกโทรปลุกขึ้นมากลางดึกด้วยเหตุผลว่างานมีปัญหาบางอย่าง ที่ในบางครั้งก็ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนคอขาดบาดตาย แต่เขาจะพยายามยกแม่น้ำทั้งห้ามาอ้างและข่มขู่เพื่อให้เราแก้งานให้ ณ ขณะนั้น ราวกับจงใจกลั่นแกล้งโดยเฉพาะ และแน่นอนว่าคนที่ปลุกเรานั้นไม่ใช่หัวหน้าของเราเสียด้วยซ้ำ

วันลาที่ไม่มีอยู่จริง

ขนาดเสาร์อาทิตย์หรือกลางดึกเรายังโดนระราน แล้ววันที่ลางานจะเหลือเหรอ

เราเชื่อว่าคงไม่มีใครอยากลางานพร่ำเพรื่อ (เว้นแต่ใกล้สิ้นปีแล้ววันลายังเหลือ)

การจะลางานแต่ละครั้งแน่นอนว่าจะต้องมีเหตุผลมารองรับว่าเราต้องลาจริง ๆ และเพราะเรามีเหตุผลจริง ๆ ถึงเลือกที่จะลางาน

แต่ถึงกระนั้นการโทรตามงานและโทรสั่งงานในวันลาก็ยังคงเกิดขึ้นอยู่ และเช่นเดียวกันคือเรื่องนั้นไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนหรือเป็นเรื่องคอขาดบาดตายแต่อย่างใด เพราะเรานั้นอยู่กันแบบครอบครัว

การเมืองภายใน ‘ครอบครัว’

อันนี้คือสิ่งที่เกิดขึ้นบ่อยมาก

เพราะเราอยู่กันอย่างพี่น้อง ความเกรงอกเกรงใจจึงถูกลดทอนออกไปด้วยคำว่าพี่น้อง

เมื่อความเกรงอกเกรงใจและเส้นแบ่งระหว่างตำแหน่งหน้าที่เบาบางลงไปการกระทบกระทั่งกันก็พลันเกิดขึ้นบ่อยครั้ง

และจนสุดท้ายก็เกิดเป็นการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย เป็นการเมืองภายในองค์กรที่หากมองดูภายนอกนั้นแน่นอนว่าย่อมมองไม่ออก หากแต่ลึกลงไปข้างในการขับเคี่ยวและความรุนแรงนั้นจัดว่ามากกว่าบริษัทที่มีระยะห่างชัดเจนเสียด้วยซ้ำ