ไดอารี่

เมื่อเราได้ยืนอยู่หน้ารถน้ำ

‘รถน้ำ’ เมื่อได้ยินคำ ๆ นี้ความรู้สึกอันหลากหลายได้ผุดขึ้นมาในหัวของเรา และหลังจากผ่านเหตุการณ์วันนี้ก็มีอีกหนึ่งความรู้สึกที่ถูกสลักเข้าไปในใจของเราเกี่ยวกับคำ ๆ นี้ นั่นคือความกลัว

บล็อกนี้เราตั้งใจจะให้มันเป็นบันทึกความทรงจำที่ถูกบันทึกเอาไว้ สิ่งที่เรากำลังจะเล่าต่อไปนี้เป็นการเล่าจากประสพการณ์ที่เราได้พบ ได้เห็น และความรู้สึกที่เกิดขึ้นจริงกับตัวเรา ณ ช่วงเวลานั้น ซึ่งมันอาจจะไม่ได้ถูกหรือผิดเสียทีเดียว

เพราะฉะนั้นขณะที่อ่านบล็อกนี้อยากจะขอให้ทุกคนระลึกไว้เสมอว่านี่คือการพูดข้างเดียว และโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

นี่คือการ ‘แอบ’ มาม็อบครั้งที่สองของเราในปีนี้ ที่ต้องบอกว่า ‘แอบ’ เพราะเราหาข้ออ้างในการออกมาม็อบโดยที่ไม่ได้บอกว่าจะมาม็อบ เอาง่าย ๆ คือเป็นการมาโดยที่ไม่ได้บอกกับที่บ้านนั่นแหละ เพราะที่บ้านเราค่อนข้างที่จะไม่เห็นด้วยและยังคงเชื่อว่ากลุ่มประเทศตะวันตกเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังการเคลื่อนไหวในครั้งนี้

18 พฤศจิกายน 2563

18:23 น.

เรามาถึงสะพานลอยข้ามแยกก่อนถึงสตช. สิ่งที่เราเห็นคือแนวรั้วกั้นเพื่อขวางการจราจรไม่ให้รถขับผ่านเข้าไปยังฝั่งสตช.และโรงพยาบาลตำรวจ ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ตำรวจที่คาดว่าน่าจะเป็นตำรวจจราจรยืนประจำการอยู่ค่อนข้างมาก

หลังจากที่เราข้ามแยกมาได้แล้วเราก็พบกับแผงกันอีกชั้นหนึ่ง ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นของทางฝั่งผู้ชุมนุมที่กั้นเอาไว้เพื่อกันตำรวจไม่ให้เข้ามาใกล้จนเกินไป

เมื่อเดินมาถึงจุดนี้เราเริ่มเห็นคนยืนออกันทางที่สกายวอร์คฝั่งสตช.กันค่อนข้างมากหลายคนพยายามชะโงกหน้าลงไปมองสถานการณ์ข้างล่างและหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายรูปบ้างเป็นครั้งคราว

เราเดินลึกเข้ามาอีกหน่อยจนถึงบริเวณหน้าสตช. จุดนี้บนสกายวอร์คมีคนพอสมควรแต่ก็ไม่ถึงกับมากมายอะไร ในขณะที่ถนนด้านล่างมีผู้คนเดินกันไปมาประปรายซึ่งส่วนมากมักจะเป็นคนที่สวมหมวกนิรภัยและสวมใส่ปลอกแขนต่าง ๆ ซึ่งเราเองก็มองสัญลักษณ์บนปลอกแขนไม่ถนัดนัก

ด้านในประตูรั้วของสตช.ได้มีการนำรถบรรทุก (เราสามารถเรียกมันว่ารถบรรทุกได้ใช่มั้ย หรือมันคือรถอะไร มีชื่อเฉพาะหรือเปล่า?) มาจอดประชิดรั้ว เพื่อกันการขว้างปาข้าวของเข้าไปภายใน

ภาพนี้ถ่ายด้วย nightmode ของ iPhone11 pro ภาพจึงดูสว่างกว่าความเป็นจริงมาก

โดยส่วนตัวมองว่าเป็นการแก้ปัญหาในเรื่องการป้องกันการขว้างปาสิ่งแปลกปลอมเข้าไปได้ดี แต่ในขณะเดียวกันมันก็สร้างความไม่สบายใจให้กับผู้ชุมนุมด้วย เนื่องจากคนที่อยู่ด้านล่างและบนสกายวอร์คไม่สามารถมองเห็นได้เลยว่ามีอะไรถูกซ่อนเอาไว้ หรืออะไรที่รออยู่ด้านหลังรถบรรทุกเหล่านั้น

ต้องอธิบายอย่างนี้คือบริเวณถนนฝั่งผู้ชุมนุมเนื่องจากเป็นถนนเมนที่ถูกใช้ในการเดินทางสันจรไปมาจึงมีไฟส่องให้ความสว่างกันเป็นปกติอยู่แล้ว แต่ทางฝั่งสตช.นั้นได้มีการปิดไฟจนมืดผิดปกติ

คือเราเคยเดินผ่าน รพ.ตำรวจและสตช.ตอนกลางคืนอยู่ค่อนข้างบ่อย (เพราะเมื่อก่อนเราทำงานอยู่แถวสถานี BTS ชิดลม ก่อนที่จะลาออกและย้ายมายังที่ปัจจุบันเมื่อช่วงเข้าไตรมาสที่สองของปีที่แล้วและด้วยความงกเราเลยเลือกที่จะเดินจากที่ทำงานมาขึ้น BTS ที่สถานีสยามแทนการขึ้นรถที่สถานีชิดลมอยู่ทุกคืน เพราะยังไงก็ต้องมาเปลี่ยนขบวนที่สยามอยู่ดี) ต้องบอกว่าปกติเราไม่เคยเห็นปิดไฟจนมืดขนาดนี้ ยิ่งมีรถบรรทุกที่จอดประชิดรั้วเพื่อบังวิสัยทัศน์จากด้านหน้าด้วยแล้ว เราไม่อาจรู้เลยว่าภายใต้เงารถบรรทุกที่ทอดยาวอยู่นั้นได้มีการแอบเตรียมการอะไรเอาไว้บ้าง

เราหยุดยืนดูสถานการณ์ตรงจุดนี้อยู่ซักพักก่อนจะเริ่มเดินเข้าใกล้ห้างเซ็นทรัลเวิร์ดขึ้นเรื่อย ๆ ช่วงนี้เราไม่ค่อยได้สนใจสภาพแวดล้อมรอบข้างมากนักเพราะเรากำลังไถทวิตเตอร์เช็คข่าว และกำลังไล่ทยอยเปิดอ่านบล็อกและ Talk ที่เมมเบอร์ส่งมาในวันนี้

เราเดินลึกเข้าไปมากขึ้นเรื่อยๆ พอรู้ตัวอีกทีเราก็อยู่ติดแผงกั้นริมขวาสุดของสกายวอร์คแล้ว และเมื่อเงยหน้าขึ้นมาจากจอมือถือสิ่งแรกที่เราเห็นตรงหน้าเราคือ ‘รถน้ำ’

ใช่แล้ว รถน้ำ

เรายืนอยู่บนสกายวอร์ค ตรงหน้ารถน้ำพอดี

‘กูมาอยู่ตรงนี้ได้ไง’

นั่นคือสิ่งแรกที่แวบเข้ามาในหัวตอนที่เราเห็นรถน้ำอยู่ข้างหน้าเรา เราพยายามหันซ้ายหันขวาเพื่อดูสถานการณ์ ก็พบว่าข้างหน้าเราคือรพ.ตำรวจที่มีเจ้าหน้าที่ในชุดเกราะและโล่ตั้งขบวนอยู่ภายใน ถัดจากขบวนเจ้าหน้าที่ในชุดเกราะก็เป็นรถน้ำและรถขยายเสียงที่จอดข้างกัน

ภาพนี้ถ่ายด้วย nightmode ของ iPhone11 pro ภาพจึงดูสว่างกว่าความเป็นจริงมาก

เราเองก็เพิ่งสังเกตว่าคนที่ยืนอยู่รอบๆเราเต็มไปด้วยช่างภาพที่มีกล้อง DSLR คล้องติดตัวรวมถึงกล้องถ่ายวิดิโอที่เรามักจะได้เห็นเฉพาะจากงานแถลงข่าวหรืองานถ่ายทอดสด

‘นี่เรายืนอยู่ในดงสื่อมวลชนเหรอ’

นี่คือประโยคที่สองที่ผุดขึ้นมาในหัว ตอนนั้นเรามีความคิดที่จะย้ายที่เพราะเราอยู่ใกล้รถน้ำจนเกินไป คือห่างกันยังไม่ถึง 100 เมตรด้วยซ้ำ ถ้ามีการฉีดน้ำขึ้นมาจริง ๆ เราเละแน่ แต่อีกใจหนึ่งก็คิดว่าคงไม่เป็นไรหรอก หากคนที่อยู่รอบ ๆ เราเป็นสื่อมวลชน อย่างน้อยตรงนี้ก็คือจุดที่ปลอดภัยที่สุดในบรรดาจุดที่ไม่ปลอดภัยทั้งหมดในนี้

สุดท้ายเราก็ตัดสินใจที่จะปักหลักอยู่ตรงนี้ต่อและคอยอัพเดทข่าวเกี่ยวกับรถน้ำให้เพื่อนเราเป็นระยะเพื่อให้ช่วยประชาสัมพันธ์และแจ้งเตือนไปยังคนอื่น ๆ ที่ติดตามข่าวสารอยู่บนทวิตเตอร์ หรือคนที่คอยเป็นหูเป็นตาให้กับคนที่มาร่วมชุมนุม

ในระหว่างที่เรากำลังยืนอยู่นั้นอยู่ดี ๆ ก็มีกลุ่มคน 2-3 คนพยายามแทรกตัวมายังริมที่กันแล้วยกมือถือขึ้นถ่ายรูปสภาพการณ์โดยรอบในหลาย ๆ มุม และเหมือนจะพยายามเลือกมุมที่ถ่ายออกมาแล้วไม่เห็นใบหน้าใคร บังเอิญว่าเราเหลือบไปเห็นว่าเขากำลังส่งรูปที่ถ่ายเข้าไปในกลุ่มไลน์ กลุ่มหนึ่ง แต่สิ่งที่เราเอะใจมากคือชื่อกลุ่ม ‘กลุ่มสั่งการ บ้านแพ้ว(12)’

สรุปแล้วอันนี้คือเจ้าหน้าที่ ๆ แฝงตัวเข้ามาเหรอ หรือเป็นกลุ่มอาสาที่เข้ามาดูแลความปลอดภัย คือถ้าเกิดว่าเขาเน้นถ่ายรูปโดยซูมให้เห็นหน้าผู้ชุมนุมเราคงตะโกนเรียกการ์ดให้เข้ามาประกบไปแล้ว เพราะพฤติกรรมแบบนั้นคือเจ้าหน้าที่แฝงตัวเข้ามาด้วยจุตประสงค์​บางอย่างที่ไม่น่าใช่เรื่องดีแน่ ๆ แต่พี่กลุ่มนี้พยายามเลือกถ่ายมุมที่ไม่เห็นหน้าผู้ชุมนุม และโฟกัสไปที่ความเคลื่อนไหวของทางฝั่งตำรวจมากกว่า เราเลยเลือกที่จะดูเชิงไปก่อน

18:32 น.

รถน้ำที่จอดอยู่ภายใน รพ.ตำรวจ ฝั่งที่ติดกับ สตช. ได้มีการเปิดไฟบนหัวรถ เมื่อไฟติดขึ้นกลุ่มผู้ชุมนุมด้านล่างก็เริ่มให้ความสนใจไปที่รถน้ำเริ่มมากขึ้น สำหรับเราแล้วเราเข้าใจว่าการเปิดไฟก็เหมือนเป็นการประกาศศักดาว่ารถน้ำคันนี้ยังสามารถใช้งานได้

ในตอนนั้นก็มีกลุ่มคนใส่ปลอกแขน (เราจำสัญลักษณ์ที่ปลอกแขนไม่ได้) ถือโทรโข่งคอยเดินประชาสัมพันธ์อยู่บนสกายวอร์ค เนื้อหาที่เขาพูดคือให้คอยช่วยสอดส่องความปลอดภัยให้กับมวลชลด้านล่างเพราะพวกเราอยู่มุมสูงทำให้เห็นภาพที่กว้างกว่า

หลังจากที่กลุ่มคนใส่ปลอกแขนเดินผ่านไปเราก็สังเกตเห้นว่าเริ่มมีการสาดสปอร์ตไลท์เข้าไปยังพื้นภายในรพ.ตำรวจ เพื่อสร้างแสงสว่างให้สามารถมองเห็นสถานการณ์ข้างในได้บ้าง และสิ่งที่เราได้เห็นจากการที่มีสปอร์ดไลท์สาดไปรอบ ๆ ก็คือ… มีพลขับประจำอยู่บนรถน้ำเป็นที่เรียบร้อย

ภาพนี้ถ่ายด้วย nightmode ของ iPhone11 pro และมีแสดงจากสปอร์ตไลท์คอยสองช่วยภาพจึงดูสว่างกว่าความเป็นจริงมาก

บอกตามตรงว่าตอนนั้นเรากลัวมาก ขาทั้งสองข้างเราสั่นด้วยความกลัว

‘เขาจะฉีดน้ำแล้วเหรอ’

นั่นคือความคิดเรา ณ ตอนนั้น ความรู้สึกกลัว และความเชื่อมั่นว่าจุดที่เรายืนจะปลอดภัยเพราะมีสื่อยืนอยู่เป็นจำนวนพอสมควรกำลังขับเคี่ยวกันอยู่ภายในหัว เราสังเกตได้ว่าพี่ ๆ ช่างภาพที่ยืนอยู่บริเวณใกล้เคียงกับเราก็เริ่มตื่นตัวเป็นพิเศษ

ถัดจากนั้นราวๆ เกือบ 10 นาที เราได้ยินเสียงเปิดวาวน้ำดังมาจากทางฝั่งรพ.ตำรวจ และนั่นคือจุดที่ความกลัวเอาชนะความเชื่อมั่นของเรา ตอนนั้นเรารู้แล้วว่าจุดที่เรายืนอยู่ไม่ได้ปลอดภัยเลย หากสังเกตดี ๆ จากรูปรถน้ำที่เราถ่ายมากด้านบนจะเห็นได้ว่าองศาของปากกระบอกฉีดนั้นถูกตั้งไว้ให้ยิงมาบนสกายวอร์ค เราไม่รู้ว่ามันถูกปรับองศาให้หันไปทางสกายวอร์คหรือว่ามันเป็นค่า default ของรถน้ำอยู่แล้ว แต่ ณ​ ตอนนั้นที่เรารู้แน่ ๆ คือตรงนี้ไม่ปลอดภัย

เมื่อเสียงเปิดวาวน้ำดังขึ้นกลุ่มผู้ชุมนุมด้านล่างเองก็ตื่นตัวและเริ่มแสดงความไม่พอใจ แน่นอนว่าเราเองก็ไม่พอใจ ทั้งไม่พอใจทั้งกลัว

เห็น ๆ กันอยู่ว่ากลุ่มผู้ชุมนุมที่มารวมตัวกันนั้นเขามามือเปล่า และมากันอย่างสันติ แต่ทางฝั่งตำรวจเลือกที่จะติดเครื่องรถน้ำและมีการเปิดวาวเพื่อเติมน้ำเข้าไปในรถราวกับจะประกาศว่า ‘ขณะนี้รถน้ำอยู่ในสภาวะพร้อมใช้งาน และพร้อมที่จะยิ่งน้ำทันทีที่ได้รับคำสั่ง’ มันเป็นอะไรที่บ้าและป่าเถื่อนมาก

คุณไผ่ที่เป็นแกนนำเองก็พยายามบอกให้ผู้ชุมนุมใจเย็นลงและอย่าไปหลงกลการยั่วยุของตำรวจ ซึ่งก็ทำให้สถานการณ์กลับเข้าสู่สภาวะปกติได้ในเวลาไม่กี่นาที

18:50 น.

ทางตำรวจดับไฟรถน้ำลงทำให้สถานการณ์ผ่อนคลายลงบ้าง หากแต่พลขับยังคงประจำอยู่บนรถน้ำซึ่งเท่ากับว่ามันยังไม่ได้ปลอดภัยอย่างแท้จริงเพราะเขาจะฉีดน้ำออกมาเมื่อไหร่ก็ได้อยู่ดี

19:00 น.

คุณไผ่ที่เป็นแกนนำประกาศเคลื่อนขบวนกลุ่มผู้ชุนุมจากหน้า รพ.ตำรวจ ไปยัง สตช. ในขณะที่หัวแถวที่อยู่บริเวณแผงรั้วหน้า สตช. เองก็ขยับออกมาจนถึงแยกบริเวณถนนอังรีดูนังต์ และเป็นจังหวะที่เราเดินทางออกจากบริเวณชุมนุมเพื่อกลับบ้าน เพราะการมาในวันนี้เรามาโดยไม่ได้บอกกับที่บ้านเอาไว้เลยไม่สามารถอยู่นานได้

รวมเวลาที่เราอยู่ในพื้นที่ชุมนุมทั้งหมดราว ๆ 40 นาที

ถึงมันจะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ แต่เราก็รู้สึกว่าเราได้เห็นและได้สัมผัสอะไรมากมาย เราถือว่านี่เป็นอีกหนึ่งประสพการณ์ที่ล้ำค่าสำหรับเรา

เอาจริงๆ ถึงแม้ว่าวันนี้จะยังไม่มีการฉีดน้ำก็ตาม แต่สำหรับเราการที่ต้องยืนอยู่เป็นเวลาร่วม ๆ ครึ่งชั่งโมงต่อหน้ารถน้ำที่พร้อมจะฉีดน้ำออกมาตลอดเวลานั้นก็ถือว่าเป็นประสพการณ์ที่ค่อนข้างน่ากลัวมากทีเดียว