ไดอารี่

ความฝัน ความหวัง และ หุ่นเชิด

จริงๆแล้วเราเป็น เจ้าของชีวิตตัวเอง หรือเป็นเพียงแค่ หุ่นเชิด กันนะ

นี่คือสิ่งที่เราสงสัยมาตลอดจนถึงทุกวันนี้

เราชื่อว่าทุกคนล้วนมีความฝัน ไม่ว่าจะเป็นความฝันที่เกิดขึ้นในวัยเด็ก ความฝันที่มาในสมัยที่เป็นนักเรียน ความฝันที่ตั้งเป้าเอาไว้ตอนเริ่มทำงาน และอีกหลายร้อยความฝันที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาต่าง ๆ ในชีวิต

เราเองก็เป็นคนนึงที่มีความฝันมากมาย เราเป็นนักคิด นักจินตนาการที่เต็มไปด้วยความฝันและความหวัง

ครั้งหนึ่งเราเคยอยากเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่สร้างหุ่นยนตร์ขนาดยักษ์หลังจากที่ได้นั่งดูขบวนการห้าสีในวัยเด็ก

ครั้งหนึ่งเราเคยอยากเป็นผู้วิเศษที่ใช้ศาสตร์อาคม ไสยศาสตร์ กสิณ และศาสตร์อีกหลากหลายแขนงของศาสนาพุทธ-พราหมณ์

ครั้งหนึ่งเราอยากเป็นผู้บัญชาการทหารที่มีอำนาจเด็ดขาด มีกองกำลังที่สามารถเรียกใช้ได้ดั่งแขนขาของตัวเอง

Moonoi Diary

ความฝันที่เกิดขึ้นในแต่ละช่วงชีวิต บางครั้งก็เป็นความฝันที่เกินจริงและไร้สาระ

แต่ในจำนวนความฝันนับร้อยพันนั้นมันมีบางส่วนที่สามารถจะเป็นจริงได้หากเราลงแรงพยายามและมุ่งมั่นกับมันจนถึงที่สุด

สมัยม.ต้น เราเป็น 1 ในคนที่หมกมุ่นในการอ่านและเขียนหนังสือ

ไม่ว่าจะเป็นนิยาย เรื่องสั้น บทความ หรือเอกสารทางวิชาการ

หากถามว่าเราอ่านเอกสารทางวิชาการรู้เรื่องหรือไม่เมื่อครั้งที่ยังอยู่ม.ต้น ?

คำตอบคือ ไม่

เราอ่านมันรู้เรื่องเพียงบางส่วน เพียงเศษเสี้ยวเล็ก ๆ จากตัวอักษรนับร้อยรับพันคำบนนั้น

แต่เรากลับรู้สึกเพลิดเพลินในการได้อ่านมัน รู้สึกเพลินเพลินไปกับคำศัพท์ที่ยากเกินกว่าที่เราจะเข้าใจหรือตีความ

เราจำได้ว่าตอนนั้นเราตั้งเป้าจะเป็นนักเขียน และหาเลี้ยงชีพจากงานเขียนของเรา

เราจึงอ่านทุกสิ่งอย่างที่ขวางหน้าเพื่อพัฒนาชุดความคิด และขยายขอบเขตคลังความรู้ของตนเอง

และในที่สุดเราก็สามารถกลั่นมันออกมาเป็นนิยาย เรื่องสั้น และบทความที่เป็นเอกลักษณ์ในแบบฉบับของเรา

( บทความที่เราเขียนในสมัยนั้นเป็นเพียงบทความทั่วๆไป เราไม่มีความสามารถในการเขียนบทความทางวิชาการเลย ทั้งในตอนนั้นและในตอนนี้ )

ตอนนั้นเราลงแรงไปกับมันค่อนข้างมาก เราอ่านหนังสือ 3-4 เล่มต่อสัปดาห์ อาจเป็นเพราะด้วยเรามีเพื่อนเพียงน้อยนิด อีกทั้งยังไม่สนใจที่จะวิ่งเล่นหรือหันไปเล่นกีฬาเฉกเช่นเด็กคนอื่นที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกัน ทำให้เรามีเวลาค่อนข้างมากในการอ่านหนังสือในแต่ละวัน

และด้วยความที่เรามีเวลาค่อนข้างมากในตอนนั้นเราเลยเริ่มลงมือเขียนงานลงตามเว็บต่าง รวมถึงเขียนส่งประกวดชิงเงินรางวัลและเขียนส่งเสนอสำนักพิมพ์ ถึงเกือบทั้งหมดที่ส่งไปจะไม่ได้รับเลือกให้ตีพิมพ์ก็เถอะ (ฮา)

ตอนนั้นคือยุคทองของเราในด้านงานเขียนเลยก็ว่าได้ จะว่าไปก็ค่อนข้างคิดถึงยุคสมัยนั้นอยู่แต่ก็นั่นแหละมันย้อนกลับไปไม่ได้แล้ว ตอนนี้ที่เราเริ่มกลับมาเขียนอีกครั้ง บอกเลยว่าทั้งการใช้คำและวาทศิลป์มันไม่เหมือนเมื่อก่อน เพราะเราร้างรางานเขียนแบบจริง ๆ จัง ๆ ไปนานมาก อย่างน้อย ๆ ก็ราว ๆ 7-8 ปีเห็นจะได้

ถ้าถามว่าทำไมเราถึงเลิกเขียนไป เอาจริงๆก็คงหนีไม่พ้นคนที่เราเรียกว่าเป็นครอบครัวนั่นแหละ

ไม่ว่าจะเป็นการว่าออกมาตรงๆ หรือเป็นการประชดประชันโดยอ้อม ทั้งหมดทั้งมวลล้วนมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เราเลิกทำตามความฝันที่เค้าไม่ต้องการให้เราเป็น

และแน่นอนว่าพวกเขาประสพความสำเร็จในการทำลายความฝันของเราลง

ไม่ว่าจะกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ถ้ามันเป็นความฝันที่พวกเขาไม่ต้องการ เขาก็จะทำลายมัน

นั่นเป็นครั้งแรกที่เรารู้ซึ้งว่าชีวิตของเราไม่ได้เป็นของเราที่แท้จริง

สิ่งที่ถูกเค้าพร่ำสอนอยู่เสมอว่าเราต้องตัดสินใจทางเดินอนาคตด้วยตัวของเราเอง เป็นเพียงแค่คำกล่าวอ้างอันสวยหรูที่ถูกยกขึ้นมาเพื่อการหลอกลวง

เพราะในทางปฏิบัติแล้วเราไม่สามารถตัดสินใจอะไรได้ เป็นได้แค่หุ่นเชิดที่ต้องเดินอยู่ในกรอบที่เค้าวางเอาไว้

แน่นอนว่าเราสามารถมีความฝันได้ สามารถไล่ตามความฝันได้

แต่ความฝันอันนั้นต้องเป็นรวามฝันที่เค้าค้องการ เป็นความฝันที่เค้าพิจารณาแล้วว่าดี ว่าเหมาะสม

ไม่ใช่ความฝันที่เป็นความต้องการของเราจริงๆ

สุดท้ายในสายตาของพวกเขาคำว่าลูกชาย แท้จริงแล้วคงหมายถึงหุ่นเชิดที่มีลักษณะคล้ายเพศชาย

ที่เป็นที่นับหน้าถือตา และสามารถนำพาเกียรติยศมาสู่ครอบครัวได้เท่านั้น

ส่วนหุ่นเชิดที่ไม่ฟังคำสั่งหรือแสดงท่าทีขัดขืนก็จะถูกตราหน้าว่าเป็นเพียงสินค้าด้อยคุณภาพ

เป็นที่รังเกียจเดียจฉันและเป็นความอัปยศต่อวงศ์ตระกูล